miscellaneous, Thai Book Review แนะนำหนังสือ, Uncategorized

Unit 731 หน่วยทดลองลับสุดโหด ความจริงที่ถูกปกปิดมานาน

หากจะมีช่วงหนึ่งช่วงใด ของประวัติศาสตร์ ที่มนุษย์ต้องหันกลับมาสำรวจตัวเองอย่างลึกซึ้ง… ว่าแท้ที่จริงแล้ว มนุษย์สามารถทำอะไรได้บ้าง ถ้าหากไร้การควบคุมจาก “ศีลธรรม”  นี่คือ เรื่องราวของ หน่วยทดลองลับ Unit 731 คือ หนึ่งในกรณีศึกษาที่ดำมืดที่สุด ในประวัติศาสตร์โลก …. 

ใช่ครับ… UNIT 731  คือชื่อของมัน  คุณอาจจะไม่คุ้นหูเท่าค่ายกักกันในยุโรป  แต่เชื่อเถอะว่า บทบาท และเรื่องราว ของมัน ในสงครามโลกครั้งที่สอง นั้น “สำคัญเกินกว่าจะถูกลืม และโหดเหี้ยมเกินกว่าจะยอมรับได้ง่ายๆ”  เพราะนี่ไม่ใช่แค่หน่วยทางการแพทย์ ไม่ใช่แค่ศูนย์วิจัย  แต่มันคือโรงงานผลิต “ความตาย”  ที่ซ่อนอยู่หลังรั้วลวดหนามของกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น ซึ่งตั้งอยู่ที่ เมืองฮาร์บิน ในแมนจูเรีย (จีน) ที่ญี่ปุ่นยึดครองในขณะนั้น และที่นี่เอง คือสถานที่ซึ่งวิทยาศาสตร์ถูกบิดเบือน เพื่อทำลายชีวิต มากกว่าสร้างสรรค์มันขึ้นมา …  และความอำมหิตที่เหนือกว่า และจากความย้อนแย้ง เชิงศีลธรรมหลังสงคราม

ชิโร อิชิอิ ในปี 1932

การกำเนิดของความชั่วร้ายทางวิทยาศาสตร์ Unit 731
หน่วย 731 หรือ Unit 731 เป็นชื่อรหัส ที่เรียกขานสำหรับ โครงการอาวุธชีวภาพ (Biological Warfare, BW) และเคมี ลับของกองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่น  โครงการนี้ ดำเนินการในประเทศจีน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1936 ถึง 1945 โดยมีฐานหลักตั้งอยู่ที่ผิงฟาง (Pingfang) ใกล้เมืองฮาร์บิน ในแมนจูเรีย หน่วยนี้มีชื่อทางการ ที่เป็นฉากหน้าว่า “หน่วยปฏิบัติการป้องกันโรคและน้ำประปาแห่งกองทัพกวางตุ้ง”
— Unit 731  ถูกก่อตั้งขึ้น
ภายใต้การนำของ พลโท ชิโร อิชิอิ (General Shiro Ishii) ซึ่งเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์ว่าอาวุธชีวภาพจะเป็น “อาวุธแห่งอนาคต” และมุ่งเน้นการวิจัยเพื่อสร้างอาวุธดังกล่าวเพื่อใช้ต่อต้านมนุษย์โดยเฉพาะ
—  เป้าหมายหลักของหน่วย 731  คือ …
คือ  การพัฒนาอาวุธทำลายล้าง ที่สามารถแพร่เชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ  เช่น กาฬโรค อหิวาตกโรค ไข้ทรพิษ และโรคระบาดอื่น ๆ เพื่อใช้โจมตีพื้นที่เมืองของจีนและสหภาพโซเวียต  โดยโครงการนี้ดำเนินการผ่านการทดลองที่โหดเหี้ยม คือ การทดลองกับมนุษย์ (Human Experimentation)  ต่อเชลยศึก ชาวจีน โซเวียต เกาหลี และพลเรือนหลายพันคน   มีรายงานประเมินว่ามีผู้เสียชีวิตโดยตรงจากการทดลองภายในสถานที่นี้  กว่า 3,000 คน  และมีการใช้สงครามชีวภาพภาคสนาม ได้คร่าชีวิตผู้คนไปอีกหลายแสนคน โดยประมาณการความเสียหายรวมระหว่าง 200,000 ถึง 300,000 คน    เช่น  มีการปล่อย “หมัดที่ติดเชื้อกาฬ” ลงจากเครื่องบินเหนือหมู่บ้านหลายแห่ง เช่น เหอไฉ  และเมืองต่างๆ ลึกเข้าไปในเมืองของจีนตอนกลาง ทำให้เกิดการระบาดครั้งใหญ่ในช่วงทศวรรษ 1930–1940   บางพื้นที่ถึงกับมีคนล้มตายเป็นร้อยภายในไม่กี่วัน  แต่ไม่มีใครนอกเหนือจากกองทัพญี่ปุ่นรู้ว่า ความสูญเสียเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ 

“มะรุตะ” ที่แปลว่า “ท่อนฟืน” คือ  คำเรียก
เพื่อปกปิดความเป็นมนุษย์ของเหยื่อ

ชาหมักคอมบูชา kombucha
ชาหมักคอมบูชา kombucha

 ผู้ถูกจับกุมซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีน โซเวียต ชาวเกาหลี ชาวมองโกเลีย นักโทษการเมือง ผู้หญิงและเด็ก จำนวนมาก จากหมู่บ้านใกล้เคียง ที่ถูกจับมาทดลอง อาวุธชีวภาพ  ถูกเรียกว่า Maruta “มะรุตะ”  แปลตรงตัวว่า “ท่อนฟืน”   

“มะรุตะ” มันคือความหมาย ที่ตัดความเป็นมนุษย์ออกอย่างเลือดเย็นที่สุด ….  ในรายงานการทดลอง ข้อมูลของเหยื่อ ที่พอจะหลงเหลืออยู่บ้าง ปรากฏแค่ลำดับตัวเลข ,ไม่มีชื่อ ,ไม่มีประวัติส่วนตัว  มีเพียงข้อมูลทางกายภาพ  และผลลัพธ์จากการติดเชื้อ ความเจ็บปวดทั้งหมดของมนุษย์ ถูกแปรให้เป็นข้อมูลบนกระดาษ … 

    การใช้คำศัพท์นี้  เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของ “การลดทอนสถานะความเป็นมนุษย์” (Dehumanization) ซึ่งช่วยให้แพทย์และเจ้าหน้าที่ทางวิทยาศาสตร์  สามารถมองข้ามความทุกข์ทรมานของเหยื่อได้ โดยเหยื่อถูกมองว่าเป็นเพียงวัสดุหรือ “ท่อนไม้”

 วิธีการทดลองที่ดำเนินการโดยแพทย์ของหน่วย 731  ถูกออกแบบมา เพื่อแสวงหาความรู้เกี่ยวกับ ขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์ต่อโรคภัย และการบาดเจ็บร้ายแรง โดยการทดลองเหล่านี้ มักกระทำในลักษณะที่ซาดิสม์และโหดร้ายอย่างยิ่ง

 🔬 ตัวอย่างการทดลอง 

🩻 การชำแหละมนุษย์ขณะมีชีวิต โดยไม่ใช้ยาสลบ (Vivisection)
เป็นหนึ่งในอาชญากรรม  ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด  นั่นคือการ  ผ่าตัดอวัยวะภายในออก (Vivisection) และการตัดแขนขาออกจากร่างกายของเหยื่อ ในขณะที่เหยื่อยังมีชีวิตอยู่!!!   การผ่าตัดนี้ ดำเนินการโดยปราศจากการใช้ยาสลบ …เพื่อให้แพทย์สามารถสังเกตผลกระทบของโรค หรือผลของการบาดเจ็บในสภาพร่างกายที่ไม่ถูกเปลี่ยนแปลงโดยยาชา   เป็นการละเมิดหลักจริยธรรมทางการแพทย์ที่รู้จักกันในนาม “คำปฏิญาณฮิปโปเครติส” (Hippocratic Oath) ในกรณีนี้ถือว่าอยู่ในระดับสูงสุด …

🧊  ทดลองแช่แข็งอวัยวะ (frostbite experiments) เพื่อศึกษาอาการตายในสนามรบ 
คือ การทดสอบความเย็นจัด (Frostbite Testing) เพื่อเตรียมพร้อม สำหรับการรบในสภาพอากาศหนาวเย็นของแมนจูเรีย  หน่วย 731  ได้ทำการทดลองเพื่อศึกษาการบาดเจ็บจากความเย็นจัด  แขนขาของเหยื่อ จะถูกแช่แข็งในน้ำแข็ง เพื่อทำให้เกิดเนื้อเยื่อตาย (gangrene) หลังจากนั้น นักวิจัยจะศึกษาว่า การรักษาหรือการอุ่นร่างกายแบบใดที่จะมีประสิทธิภาพที่สุดในการป้องกันอาการบาดเจ็บ

☣️  การติดเชื้อโดยเจตนาและการฉีดวัคซีนหลอก  ( บังคับให้ติดเชื้อโรคร้ายแรง )
นักโทษจะถูกฉีดเชื้อโรคอันตรายถึงชีวิต เช่น กาฬโรค (Plague) ,ไทฟอยด์ (Typhoid) และอหิวาตกโรค (Cholera) โดยมีการปลอมแปลงการฉีดเชื้อเหล่านี้ว่าเป็น “วัคซีน” วัตถุประสงค์ของการทดลองนี้คือ เพื่อศึกษาพยาธิกำเนิดของเชื้อโรคในร่างกายมนุษย์โดยตรง เพื่อกำหนดปริมาณของเชื้อโรค และประเมินประสิทธิภาพของเชื้อโรคเหล่านี้ในการนำไปใช้เป็นอาวุธ

 💣  ทดสอบอาวุธ เช่น ระเบิดมือ 
จากคำให้การหลังสงครามของอดีตเจ้าหน้าที่ Unit 731 รวมถึงเอกสารที่สหรัฐฯ ได้รับหลังยึดฐานที่แมนจูเรีย ผู้ถูกกักกันถูกนำไปผูกมัดกลางลานทดลอง  เจ้าหน้าที่โยนระเบิดมือ ระเบิดขนาดเล็ก หรือวัตถุระเบิดต้นแบบ จุดประสงค์คือ “คำนวณรัศมีการฆ่า (kill radius)” และ “รูปแบบการกระจายของเศษโลหะ” พยานระบุว่า  เจ้าหน้าที่มัก “จดบันทึกเวลาเสียชีวิต สภาพบาดแผล และทิศทางสะเก็ด” เพื่อใช้ปรับปรุงแบบของระเบิด  ไม่มีการใช้ที่กำบัง ผู้ถูกทดลองถูกยึดให้อยู่ในพื้นที่ระเบิดโดยจงใจ

ห้องเพาะเลี้ยงหมัด (Flea Breeding Room) ใน หน่วยทดลองลับ Unit 731

ห้องเพาะเลี้ยงหมัด ใน หน่วยทดลองลับ Unit 731
ห้องเพาะเลี้ยงหมัด ซึ่งถือเป็นหนึ่งในส่วนที่สำคัญที่สุดของโครงการอาวุธชีวภาพของจักรวรรดิญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง “ถาดเพาะเลี้ยง” ขนาดใหญ่จำนวนมากเรียงเป็นแถว ซึ่งใช้สำหรับ เพาะเลี้ยงหมัดจำนวนมหาศาล เพื่อใช้เป็นพาหะกระจายเชื้อ กาฬโรค (Plague) ปัจจุบัน โครงสร้างแบบนี้ยังคงถูกเก็บไว้เป็นส่วนหนึ่งของ Unit 731 Museum ในฮาร์บิน ประเทศจีน เพื่อเป็นหลักฐานที่โลกไม่ควรลืมเลือน


ความลับหลังสงคราม ที่ทำให้
Unit 731 “ไม่เคยถูกลงโทษ” ?!
( ความย้อนแย้ง เชิงศีลธรรม )

“….ความเจ็บปวด จากความย้อนแย้ง เชิงศีลธรรมหลังสงคราม ที่ยิ่งขมขื่น และอำมหิตยิ่งกว่า  คือ หลังสงครามสิ้นสุดลง นักวิทยาศาสตร์หลายคนจาก Unit 731 รวมถึง อิชิอิ ได้รับความคุ้มครอง จากการถูกลงโทษตามกฎหมาย เพื่อแลกกับข้อมูลการทดลองด้านชีวภาพที่สหรัฐอเมริกาเห็นว่ามีประโยชน์ต่อสงครามเย็น ??!!   ….”    

เมื่อญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ในปี ค.ศ. 1945  ฐานของ Unit 731 ในผิงฟาง ถูกเผาทำลาย เจ้าหน้าที่สั่งให้ทำลายคลังข้อมูล เอกสาร และศพทั้งหมด เหลือเพียงซากอาคารที่ไหม้เกรียม เช่น เตาเผา ห้องทดลอง และลานสนาม ที่ใช้เป็นพื้นที่ทดสอบอาวุธ สภาพที่ถูกพบโดยกองทัพโซเวียตในปี 1945 คือ  “ว่างเปล่า แต่เต็มไปด้วยสัญญาณของบางสิ่งเลวร้าย”

 สหรัฐฯ เห็นคุณค่าของ “ผลลัพธ์” มากกว่าการลงโทษ “ผู้กระทำ”

หน่วยข่าวกรองสหรัฐ (CIS และต่อมาเป็น CIA) จึงทำข้อตกลงลับ กับแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ของ Unit 731
แลกเปลี่ยนคือ

  • สหรัฐจะไม่ดำเนินคดีเป็นอาชญากรสงคราม ?!
  • ผู้เกี่ยวข้องจะได้รับการคุ้มกันเต็มรูปแบบ !! 
  • และข้อมูลการทดลองมนุษย์ทั้งหมดจะถูกส่งให้สหรัฐฯ

 

นายพล ดักลาส แมคอาเธอร์ (General Douglas MacArthur)
MacArthur speaking at Soldier Field in Chicago in 1951

หนึ่งในประโยคที่ปรากฏในเอกสารสหรัฐฯ คือคำว่า
“data of unique scientific value”
ซึ่งหมายถึงข้อมูลที่ “ไม่สามารถหาได้จากการทดลองกับสัตว์หรืออาสาสมัครในมนุษย์ปกติ”
นี่คือคำพูดที่เจ็บปวดที่สุด เพราะข้อมูลดังกล่าวคือผลผลิตของ…

 

  • การติดเชื้อให้มนุษย์โดยตั้งใจ
  • การทดลองทนสารพิษจนเสียชีวิต
  • การผ่าตัดแบบสด (vivisection)
  • การแช่แข็งแขนขาเพื่อศึกษาการเน่าตาย
  • การทดสอบระเบิดในระยะใกล้กับมนุษย์ถูกมัดแน่น
  • และอีกมากที่เหยื่อไม่มีวันเลือกได้

 ภายในปี ค.ศ. 1947   นายพล ดักลาส แมคอาเธอร์ (General Douglas MacArthur) ในฐานะผู้บัญชาการสูงสุดของฝ่ายสัมพันธมิตร (SCAP) ได้อนุมัติอย่างเป็นทางการ  ในการให้ภูมิคุ้มกันเต็มรูปแบบแก่  นายพลชิโระ อิชิอิ (Shirō Ishii) หัวหน้า Unit 731  และผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา การให้เหตุผลคือข้อมูลดังกล่าวจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงการวิจัยอาวุธชีวภาพของสหรัฐฯ เองในช่วงสงครามเย็น

นายพลชิโระ อิชิอิ  ได้รับการคุ้มกันเต็มรูปแบบ เดินทางไปสหรัฐฯ เพื่อถ่ายทอดข้อมูลการวิจัยและทดลอง  และใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุข ในญี่ปุ่น

แพทย์หลายคนในโครงการนี้ ได้รับรางวัลจากความโหดเหี้ยม คือ  ได้เป็น

  • รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งชาติ
  • ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยแพทย์
  • นักวิจัยชีวการแพทย์ชั้นนำ
  • ผู้บริหารบริษัทเภสัชกรรม

พวกเขาไม่ได้ถูกตำหนิในสังคมญี่ปุ่นยุคหลังสงคราม เนื่องจากรัฐและฝ่ายทหารต้องการ “ลืมอดีต” เพื่อเร่งฟื้นประเทศ

การตัดสินใจนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การยกเว้นโทษทางอาญาเท่านั้น แต่ยังมีการจ่ายเงินค่าเลี้ยงชีพ (stipends) ให้แก่อดีตบุคลากรของหน่วย 731 โดยรัฐบาลสหรัฐฯ อีกด้วย

**** พลโท ชิโร อิชิอิ ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วย 731 ที่ไม่เคยถูกดำเนินคดีอาญาเลย หลังจากสงครามจบลง …. และเสวยสุขในญี่ปุ่น     จนถึงวันที่  9 ตุลาคม ค.ศ. 1959  เขาก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งใน วัย 67 ปี     

⚒️ โซเวียต เป็นประเทศเดียว ที่เปิดการไต่สวน “อาชญากรรมชีวภาพ”

ภาพถ่ายประวัติศาสตร์จากการพิจารณาคดีคาบารอฟสค์ (Khabarovsk War Crimes Trial) ในปี ค.ศ. 1949 ซึ่งเป็นการไต่สวนอาชญากรสงครามของกองทัพญี่ปุ่นที่เกี่ยวข้องกับ หน่วยทดลองลับ Unit 731 และหน่วยวิจัยอาวุธชีวภาพอื่น ๆ ของกองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่น

หน่วยทดลองลับ Unit 731
ภาพนี้แสดงให้เห็น กลุ่มนายทหารและแพทย์ทางทหารของญี่ปุ่นซึ่งถูกโซเวียตจับกุม และถูกนำขึ้นศาลในเมืองคาบารอฟสค์ (Khabarovsk)  นี่เป็นครั้งแรกที่มีการนำพยานหลักฐานจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับการทดลองมนุษย์ อาวุธชีวภาพ การติดเชื้อ และการใช้เชื้อก่อโรคต่าง ๆ ของ Unit 731 มาสู่สาธารณะ

การไต่สวนครั้งนั้น มีการรวบรวมพยานปากคำของผู้รอดชีวิต คำสารภาพของเจ้าหน้าที่ที่ถูกจับได้  เอกสารและบันทึกการทดลอง บางส่วนที่กองทัพแดงยึดมาได้ เพื่อแสดงให้เห็นรูปแบบการปฏิบัติที่เป็นระบบ เช่

  • การเพาะเชื้อในห้องแล็บ
  • การผลิตและจัดเก็บเชื้อโรคในปริมาณมาก
  • การใช้พาหะเช่นหมัดและเห็บเป็นพาหะนำโรค
  • การประยุกต์วิธีการแพร่เชื้อ (รวมทั้งการโปรยสิ่งของที่ปนเชื้อเหนือหมู่บ้าน)
  • การทดลองทางร่างกายที่โหดร้ายต่อมนุษย์ เช่นการผ่าตัดสดโดยไม่ให้ยาสลบ การทดลองความทนต่อความหนาวและแรงดัน และการบันทึกผลจนถึงการตายของผู้ถูกทดลอง

รายงานและฟิล์มเอกสารจาก คาบารอฟสค์ ให้รายละเอียดเชิงพยานมากกว่าที่เคยเปิดเผยสู่สาธารณะก่อนหน้านั้น

แต่ท่ามกลางบรรยากาศสงครามเย็น  ….. 

สหรัฐฯ พยายามลดความน่าเชื่อถือของการไต่สวน
โดยกล่าวหาว่าเป็น  “การโฆษณาชวนเชื่อของคอมมิวนิสต์”

ทำให้หลักฐานเหล่านั้น  ไม่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในทันที  ก่อนที่เอกสาร และบันทึกบางส่วนจะค่อยๆ ถูกเปิดเผยหลังปี ค.ศ. 1980–1990  …

เมื่อญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ยอมรับว่า “ข้อมูลจาก Unit 731 มีอยู่จริง และพวกเขาเคยได้รับข้อมูลดังกล่าว” !!?? 

 ***   ความจริงเกี่ยวกับหน่วย 731 เริ่มปรากฏสู่สาธารณะอย่างจริงจังในทศวรรษ 1980  เมื่อนักข่าวและนักเขียนชาวอเมริกันและญี่ปุ่น เช่น John Powell และ Morimura Seiichi นำเอกสารที่ได้รับผ่านกฎหมาย Freedom of Information Act และคำให้การของผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกับหน่วย 731 มาตีพิมพ์   การเปิดเผยเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ทางประวัติศาสตร์และกฎหมายเพื่อให้เกิดการรับรู้ความจริงอย่างเป็นทางการ

ความเจ็บปวดของเหยื่อที่ถูกทำให้ “ไม่มีตัวตน” ในประวัติศาสตร์

เหยื่อส่วนใหญ่เป็นใครกันบ้าง …..

  • ชาวจีน
  • ชาวรัสเซีย
  • ชาวเกาหลี
  • ชาวมองโกเลีย
  • นักโทษการเมือง
  • ชาวบ้านที่ถูกจับกุม
  • หญิงและเด็กจำนวนมาก

    จำนวนผู้เสียชีวิต ที่ไม่อาจประเมินได้ บางงานวิชาการระบุ 3,000–12,000 คน  บางกลุ่มประเมินมากกว่า 20,000 คน  และอีกมากที่ไม่ถูกบันทึกชื่อเลย !!! ครอบครัวของเหยื่อไม่เคยได้รับความยุติธรรม ชื่อของพวกเขาหายไป พร้อมกับเอกสารที่ถูกเผา และความทรมานที่พวกเขาเผชิญยังสะท้อนอยู่ในบันทึกผู้รอดชีวิตไม่กี่รายเท่านั้น…. 

มันไม่ใช่แค่โศกนาฏกรรม
แต่มันคือ
การที่ความโหดร้ายถูกทำให้กลายเป็น “ข้อมูลวิทยาศาสตร์”

และถูกใช้แลกกับอำนาจทางการเมืองของรัฐมหาอำนาจในยุคสงครามเย็น

มันทำให้เกิดคำถามเชิงศีลธรรม ว่า …. 

  • ความก้าวหน้าในวิทยาศาสตร์ที่เกิดจากความทรมานของมนุษย์ มีคุณค่าหรือไม่?
  • ญี่ปุ่น ควรรับผิดชอบมากกว่านี้หรือไม่?
  • สหรัฐอเมริกา มีสิทธิอะไร ที่จะปกป้องผู้ก่ออาชญากรรมสงคราม?
  • และโลกเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้?

ความเจ็บปวดที่สุด… มันอยู่ตรงนี้ครับ ….

 


ข้อมูลทั่วไปเกี่ยว แผนที่ตั้งใน ส่วนหลักของ หน่วยทดลองลับ Unit 731  

ภาพนี้ คือ “โซนหลัก” ที่เรียกว่า Main Laboratory & Prison Complex
ซึ่งเป็นหัวใจของ
Unit 731 

บอกตำแหน่ง หน่วยทดลองลับ Unit 731

  อาคารสี่เหลี่ยมใหญ่ (ด้านบนขวา)
Main Prison & Human Experimentation Block

อาคารที่มีลักษณะเป็น “สี่เหลี่ยมมีลานตรงกลาง” คือ คอมเพล็กซ์คุมขังและทดลองมนุษย์ ซึ่งสำคัญที่สุดของ Unit 731
ภายในประกอบด้วย

  • ห้องคุมขังหลายร้อยห้อง  ใช้ขัง “มารุตะ” (มนุษย์ที่ถูกใช้ทดลอง)
  • ห้องทดลองทางสรีรวิทยา-เชื้อโรค สำหรับติดเชื้อ ทดลองอุณหภูมิ กายภาพ และระบบหายใจ
  • ห้องแยกเชื้อ (Isolation Rooms) ใช้กักผู้ถูกทดลองหลังติดเชื้ออันตราย เช่น กาฬโรค อหิวาต์ แอนแทร็กซ์
  • ลานกลาง ใช้เคลื่อนย้ายผู้ถูกทดลองหรือทำกิจกรรมภายในที่ไม่อยากให้คนนอกเห็น

🔎 นี่คือส่วนที่ “มืดที่สุด” และมีบันทึกเกี่ยวกับการทดลองกับมนุษย์มากที่สุด

  อาคารขนาดใหญ่ปล่องสูง (ล่างกลาง)
Boiler Facility & Crematorium Complex
     อาคารนี้มีป้ายลักษณะคล้ายปล่องเตาใหญ่ เป็นอาคารที่สำคัญมากใน Unit 731 เพราะมี 2 หน้าที่หลัก

  • โรงกำเนิดไอน้ำ / พลังงาน (Boiler & Power Plant) ใช้ให้ความร้อนและพลังงานกับ
    • ห้องปฏิบัติการ
    • โรงผลิตเชื้อโรค
    • ระบบน้ำร้อน
    • เครื่องมือเพาะเชื้อที่ต้องใช้ไอน้ำหรืออุณหภูมิสูง
  •  เตาเผา (Crematorium)  มีหลักฐานว่าพื้นที่นี้ยังทำหน้าที่เป็น สถานที่กำจัดศพผู้ถูกทดลอง
    เพื่อทำลายหลักฐานการวิจัยและควบคุมโรคไม่ให้แพร่กระจาย

 * ปล่องสูงคือจุดสังเกตสำคัญ — ทำเพื่อให้ควันระบายออกจากพื้นที่ทหารโดยไม่ฟุ้งกระจาย

  อาคารยาวแถบด้านซ้ายและด้านล่าง
— Laboratory & Production Facilities

ชุดอาคารเหล่านี้คือพื้นที่สนับสนุนงานวิจัย ประกอบด้วย

  • ห้องเพาะเชื้อโรค (Pathogen Production Rooms)  = ใช้ผลิตเชื้อแบคทีเรียจำนวนมาก เช่น แอนแทร็กซ์, กาฬโรค
  • โรงงานผลิตระเบิดชีวภาพ (Uji Bomb Factory)  = ผลิตระเบิดเซรามิกสำหรับบรรจุหมัดติดเชื้อ
  • พื้นที่ทดลองสัตว์ (Animal Testing Rooms)  =  สำหรับทดลองเบื้องต้นกับสัตว์ก่อนใช้กับมนุษย์
  • คลังเก็บสารเคมี & อุปกรณ์  =  รวมอุปกรณ์ปลูกเชื้อ เครื่องกรอง ห้องฆ่าเชื้อ

*บางส่วนของพื้นที่ด้านล่างยังเป็น บ่อ/ระบบน้ำหล่อเย็น และ สถานที่กำจัดของเสียชีวภาพ

ประชาสัมพันธ์

.

kombucha by scoby do it

.

อาคารเล็กกระจายรอบนอก
— Security & Guards’ Quarters

อาคารเล็กหลายหลังที่ล้อมรอบคอมเพล็กซ์มีบทบาทดังนี้:

  • Accommodation ของทหารยาม
  • ป้อมรักษาการณ์
  • คลังอาวุธเบา
  • พื้นที่กักกันก่อนปล่อยเข้าโซนหลัก

** เพื่อป้องกันการหลบหนีและควบคุมการเข้าออกพื้นที่ที่ถือเป็นความลับระดับสูงสุด

หน่วยทดลองลับ Unit 731

 

Ref. 

คุณสามารถรับชมวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวนี้  
วิดีโอนี้นำเสนอการเดินทางไปยังอดีตที่ตั้งของหน่วย 731 และกล่าวถึงความโหดร้ายที่ถูกปกปิดมานาน

YouTube player

 

 

เรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับประเทศจีน 
เผื่อว่าคุณจะสนใจ….
เรดการ์ด
เรดการ์ด คลื่นคลั่งเหมา เยาวชนผู้ถูกปลุกปั่น กงล้อประวัติศาสตร์ จะหวนคืน



Cultures of Fermented 
by Scoby Doit
Previous Article