miscellaneous, Thai Book Review แนะนำหนังสือ, Uncategorized

เรื่องราวของ ฉินฮุ่ย และนางหวัง คู่รักที่ถูกเกลียดชังที่สุด ในประวัติศาสตร์จีน

  หากมีการ จัดอันดับ “คู่ผัวตัวเมีย ที่ชั่วร้าย และโดนด่า มากที่สุดใน ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ”  ผมมั่นใจที่สุดว่า  คู่ของ ฉินฮุ่ย (Qin Hui)  กับภรรยา (นางหวัง)  จะต้องติดอันดับท็อปของโลก  ชนิดที่ไร้คู่แข่ง เลยทีเดียว

คนจีนด่าจนชื่อของทั้งคู่  กลายเป็นคำด่า ไปเลยด้วยซ้ำ และที่สำคัญคือ  สถานะ “ผู้ร้ายของแผ่นดิน” ของพวกเขานั้นฝังลึกมากว่าแปดร้อยปีล่วงมาแล้ว !!!  ถึงจุดที่คนจีนในศตวรรษที่ 21 ยังเดินไปถ่มน้ำลายใส่รูปปั้นของพวกเขาอยู่ทุกวันในเมืองหางโจว

แต่เบื้องหลัง ของภาพจำเหล่านั้น เป็นอย่างไร ? นี่มันคือเรื่องจริงใช่มั้ย   พอเราเปิดดูข้อมูลทางประวัติศาสตร์จริง ๆ จะพบว่าเรื่องของ ฉินฮุ่ย (Qin Hui)  ไม่ใช่นิทานขาวดำแบบ “คนดี–คนเลว” อย่างที่เราเคยอ่านในหนังสือเด็ก หรือดูในหนังงิ้ว หนังจีนกำลังภายใน  …. แต่ ชีวิตจริง มันเทาและซับซ้อนกว่านั้นมาก  มีทั้งการเมืองระดับจักรพรรดิ สงครามกับมหาอำนาจภายนอก การแย่งชิงอำนาจในราชสำนัก และการต่อสู้ทางความคิดว่าประเทศที่อ่อนแอควรยืนหยัดหรือควรประนีประนอม ….

 และตรงกลางของพายุทั้งหมดนั้น คือผู้ชายชื่อ “ฉินฮุ่ย” (Qin Hui)  ซึ่งบางคนบอกว่าเขาคือ “ทรราชผู้ขายชาติ” ในขณะที่อีกหลายคนมองว่าเขาอาจเป็น “นักการเมืองผู้เลือกทางที่เจ็บปวด แต่จำเป็น”

YouTube player


เรื่องราว เริ่มน่าสนใจกันมาบ้างแล้วใช่มั้ยครับ ?  

มาครับ มาไล่เรียง ถึงต้นสายปลายเหตุ ของเรื่องราวเหล่านี้กัน ….

ตำนานคู่ผัวตัวเมียผู้ถูกสาปแช่งพันปี ประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนกว่า “ตัวร้ายในวรรณกรรม”
ฉินฮุ่ย (Qin Hui) และภรรยา นางหวัง (王氏)

   ย้อนกลับไปศตวรรษที่ 12    จีนอยู่ภายใต้ราชวงศ์ซ่ง ซึ่งรุ่งเรืองในด้านวัฒนธรรม ศิลปะ เทคโนโลยี และเศรษฐกิจ แต่…. แทบทุกคนในยุคนั้น ก็รู้อยู่ว่า  “ด้านการทหารคือจุดอ่อนที่สุดของซ่ง”  หากเปรียบเป็นคนรุ่นใหม่ ก็เหมือนติวเด็กเก่งโอลิมปิกคณิตศาสตร์ แต่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย พอถึงเวลาต้องชกจริง ก็สู้ใครเขาไม่ได้

ในเวลานั้นเอง ชนชาติจินทางเหนือ (ชนชาติจิน (金, Jin) ซึ่งเป็นนักรบฝีมือดี และมีโครงสร้างการปกครองเข้มแข็ง กำลังเติบโตเป็นมหาอำนาจใหม่ เข้ามาปะทะต่อตีกับชาวซ่ง กลายเป็นสงครามยืดเยื้อ  ที่ซ่งเสียเปรียบอยู่บ่อย ๆ จนสุดท้าย  เมืองหลวงซ่งเหนือก็แตกสิ้น ….   จักรพรรดิถูกจับกุม  ราชวงศ์ซ่งที่เหลือ จึงต้องอพยพลงใต้  และตั้งราชสำนักใหม่ … >>>  และ เราเรียกยุคนี้ว่า “ซ่งใต้”

เมืองแตก ราชวงศ์เปลี่ยนที่ตั้ง เจ้าของบ้านโดนลากตัวไปเป็นเชลย…

ฉินฮุ่ย (Qin Hui)
ฉินฮุ่ย (Qin Hui)

สถานการณ์แบบนี้  กดดันชนิดหายใจไม่ทั่วท้อง และจักรพรรดิองค์ใหม่ “ซ่งเกาจง” ก็จำเป็นต้องหาใครสักคนที่ มา “พูดกับศัตรูรู้เรื่อง” มาช่วยเจรจา เพื่อรั้งเวลา ฟื้นฟูเศรษฐกิจ และป้องกันไม่ให้ราชวงศ์ ที่เพิ่งตั้งใหม่ ต้องมาล้มพังลงมาอีกครั้ง และชายคนนั้น ก็คือ  ฉินฮุ่ย (Qin Hui)

    ฉินฮุ่ย  เขาไม่ได้เป็นนักรบ  แต่เขาเป็นขุนนาง สายปัญญาชน หรือ สายบุ๋น  (นักสำนวน นักคิด นักกฎหมาย) ที่สอบเข้าราชการได้ตั้งแต่อายุน้อย ด้วยบุคลิกที่พูดเก่ง รอบคอบ และเข้าใจเกมอำนาจในวัง เขาจึงเป็นคนที่จักรพรรดิไว้วางใจให้เข้ามาช่วย  “คุมงานนโยบายต่างประเทศ” ในยุคที่ซ่งใต้กำลังถูกกดดันอย่างหนัก …

ก่อนกลับเข้าราชสำนัก ฉินฮุ่ย  เคยถูกจับไปอยู่ในแดนศัตรู อยู่หลายปี ในเวลานั้นเอง ที่เขาได้เห็นกำลังที่แท้จริงของชาวจิน  ได้เห็นระบบทหาร ที่เข้มแข็งกว่าซ่ง อย่างเทียบไม่ติด และก็ได้ตระหนักว่า  “ซ่งใต้ ในตอนนี้สู้จินไม่ได้ด้วยซ้ำ”

นี่เอง ที่ทำให้ฉินฮุ่ยมีมุมมองว่า
“สงครามจะยิ่งทำให้แผ่นดินพังพินาศ ไม่มีใครชนะจริง ๆ”
ขณะที่แม่ทัพจำนวนมาก โดยเฉพาะ “เยวื่อเฟย” เชื่อว่า “ต้องสู้จนกว่าจะทวงคืนแผ่นดินได้”

เมื่อสองแนวคิดนี้ เดินสวนทางกันอย่างรุนแรง สงครามทางทฤษฎี จึงปะทะกันในใจกลางราชสำนัก ….

นโยบาย “เจรจา” ที่ทำให้ฉินฮุ่ย  ถูกด่าว่าเป็นคนขายชาติ

ฉินฮุ่ย  ผลักดันให้ซ่งใต้  ยื่นข้อเสนอ ทำสัญญาสันติภาพกับจิน แม้ต้องเสียบรรณาการจำนวนมาก ซึ่งเขามองว่า การจ่ายบรรณาการเป็นต้นทุน ที่คุ้มค่ากับการ “ซื้อเวลา” เพื่อฟื้นฟูประเทศ   …. แต่สำหรับวิธีนี้ ในสายตาของประชาชน โดยเฉพาะนักประวัติศาสตร์ยุคหลัง  สิ่งนี้ถูกตีความว่า การกระทำนี้เป็น “ความอ่อนแอเกินไป”  ราชสำนัก “คุกเข่า” ต่อศัตรูอย่างน่าอับอาย …..

จุดที่ทำให้ประชาชนโกรธมากคือ   ผลลัพธ์ของการเจรจา กลับไม่ได้ช่วยให้ซ่ง  ได้ดินแดนคืน แถมยังต้องกำหนดเขตแดนใหม่ ให้จินเข้ามาควบคุมพื้นที่บางส่วนอย่างถาวร  ….  ความรู้สึกมันคล้ายๆ กับเวลาบอลทีมชาติเรายอมโดนบีบเล่นตั้งรับทั้งเกม — แม้โค้ชจะบอกว่า  วางแผนเพื่อความปลอดภัย แต่แฟนบอลก็มองว่า “เล่นแบบนี้มันถอยเกินไปไหม?” ประมาณนั้นแหละ ….

นี่คือรอยแผลแรก
ของภาพลักษณ์ ที่ไม่ดีนักของ  ฉินฮุ่ย

แต่รอยแผลที่ใหญ่กว่ามากนั้น กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้  โดย ผู้ชายอีกคนชื่อ เยวื่อเฟย

เยวื่อเฟย
: แม่ทัพที่คนจีนรักที่สุด กับความฝันในการทวงคืนแผ่นดิน

Yue Fei ( 岳飛 )

เยวื่อเฟย  ไม่ใช่แค่แม่ทัพที่เก่งกาจเท่านั้น  แต่เขายังเป็นสัญลักษณ์ของ “ความซื่อสัตย์รักชาติ” เขามีคติว่า ….
“จงทุ่มเทเพื่อชาติ คืนแผ่นดินให้ฮ่องเต้”
ประชาชนรักเขามาก เหล่าทหารก็เคารพเขายิ่งกว่าใคร และผลงานในสนามรบก็น่าทึ่ง เขาเริ่มตีกลับกองทัพจิน หลายครั้งจนศัตรูเริ่มหวั่นไหว …. และนี่เองที่ทำให้เขากลายเป็นปัญหาทางการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ….

ต่อให้แม่ทัพเก่งเพียงใด หากเริ่มมี “อิทธิพลมากจนเกินควร” ก็อาจถูกมองว่า เป็นภัยต่อตำแหน่งของจักรพรรดิเอง   และ  ….. ที่สำคัญ เยวื่อเฟย  ต้องการ “สู้ต่อจนกว่าจะชนะ” ตรงข้ามกับนโยบาย “ต้องหยุดรบ” และ เจรจา  ของจักรพรรดิและของฉินฮุ่ย …
ความขัดแย้งนี้  ทำให้จักรพรรดิและฉินฮุ่ย
เริ่มมอง เยวื่อเฟย ว่า “คุมไม่ได้” ?!
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้น   เมื่อกองทัพเยวื่อเฟย กำลังจะทำศึกสำคัญ และมีโอกาสจะชนะแบบเด็ดขาด ฉินฮุ่ยกลับรีบส่งคำสั่งให้เขาถอยทัพทันที เยวื่อเฟยเอง ก็รู้ดีว่า การถอยครั้งนี้  ไม่ใช่เพราะทหารไม่พร้อม แต่เพราะการเมืองในวัง ไม่อยากให้เขาชนะหรือมีอำนาจจนเกินไป ….  ??
เขาถอยตามคำสั่ง แม้จะไม่เห็นด้วยเลยก็ตาม…..
หลังถอยทับกลับมาไม่นาน เขาก็ถูกจับ
ในข้อหา “ทรยศ” และถูกประหาร !?!?!?
  วันที่ 27 เดือน 12 ปี   绍兴十年  (Shaoxing Year 10 = ค.ศ. 1140) ราชสำนักมีคำสั่งให้เรียก เยวื่อเฟย กลับจากสมรภูมิทันที  ถึงแม้ว่า ขณะเวลานั้น กองทัพกำลังได้เปรียบก็ตาม ….

ตาม  ชีวประวัติของ เยวื่อเฟย  ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์ซ่ง 《宋史·岳飞传》 ระบุว่า เยวื่อเฟย  เขียนคำตอบสั้น ๆ ว่า

 

“ 十年之功,毁于一旦。”
“ความพยายามสิบปี พังทลายในวันเดียว”

คำตอบนี้เอง ที่ถูกตีความว่า …. เป็นการ “ท้าทายราชสำนัก” !!!

หลังกลับสู่เมืองหลวง ได้ไม่นาน เขาถูกตั้งข้อหาหนักเกี่ยวกับการ “ไม่เชื่อฟังคำสั่ง” และ “สมคบคิดกบฏ” แม้เอกสารหลายชุด เช่น  “การรวบรวมสนธิสัญญาระหว่างสามราชวงศ์และพันธมิตรภาคเหนือ” 《三朝北盟会编》และ “บันทึกตามลำดับเวลาตั้งแต่ยุคเจี้ยนเหยียน” 《建炎以来系年要录》 ระบุชัดว่า  ไม่มี หลักฐานที่เป็นรูปธรรม

สิ่งที่ทำให้ชื่อ ฉินฮุ่ยถูกตรึงกับภาพ “คนเลวระดับชาติ” ตลอดกาล  ก็คือประโยค ที่เชื่อกันว่าเขาพูดในตอนจับเยวื่อเฟยว่า

 “莫须有 – ไม่ต้องมีหลักฐานก็ได้”

เรื่องนี้ จะจริงหรือไม่ ไม่มีใครพิสูจน์ได้ แต่ประโยคนี้ถูกเล่ามาแปดร้อยปี จนกลายเป็นตราบาปบนชื่อของเขา

คำสั่งประหาร เยวื่อเฟย  ออกในปี ค.ศ. 1142  มีความเป็นไปได้ว่า จักรพรรดิเกาจง เป็นผู้ต้องการกำจัดอิทธิพลของแม่ทัพที่อาจเป็นภัยต่อราชบัลลังก์ แต่ใช้ ฉินฮุ่ย เป็น “ผู้รับผิดชอบทางการเมือง”    นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่จำนวนหนึ่งจึงมองว่า ฉินเป็นผู้เล่นการเมือง ไม่ใช่ผู้วางแผนแต่เพียงผู้เดียว.

เล่ามาถึงจุดนี้แล้ว สงสัยมั้ยครับ… 
….ว่าทำไม ไม่เห็นว่า มีภรรยาของฉินฮุ่ย เข้ามาเกี่ยวข้อเลย….
แต่ ทำไมภรรยาของฉินฮุ่ยจึงโดนด่าแรงพอ ๆ กัน ทั้งที่ข้อมูลจริงในบันทึกประวัติศาสตร์ แทบไม่มีการกล่าวถึงเลย ?

        น่าแปลก   ที่ในจดหมายเหตุราชวงศ์ซ่ง แทบไม่มีข้อมูลว่า  ภรรยาของฉินฮุ่ย  ทำผิดอะไรเป็นพิเศษ แต่ในวัฒนธรรมชาวบ้าน และเรื่องเล่าต่อๆกัน  กลับมีเรื่องเล่ามากมายว่า  เธอเป็นคนยุยงสามี ให้กำจัดเยวื่อเฟย เพื่อรักษาอำนาจในราชสำนัก ?

  • บางตำนานเล่าว่า เธออิจฉาเสน่ห์ของภรรยาเยวื่อเฟย 
  • บางตำนานเล่าว่าเธอทะเยอทะยานและกลัวว่าสามีจะถูกแย่งตำแหน่ง
  • บางตำนานก็เล่าว่าเธอชิงชังพวกแม่ทัพเพราะเคยโดนเหยียด

     ไม่มีใครรู้ หรือตัดสินได้ว่า ว่าเรื่องไหนคือเรื่องจริง แต่เมื่อประวัติศาสตร์ ถูกเล่าผ่านวรรณกรรม และงิ้วมาหลายร้อยปี ภรรยาฉินฮุ่ย ก็ถูกปั้นเป็น “นางมาร” ไปโดยปริยาย ….  


ในวัฒนธรรมจีน ตัวร้ายที่มาจากผู้หญิง  มักถูกเขียนให้ดูร้ายลึก ร้ายเงียบ และร้ายแบบมีเล่ห์กลมากกว่าผู้ชาย ความเชื่อนี้ทำให้ประชาชนยิ่งโทษเธอหนักขึ้นไปอีก แม้จะไม่รู้ว่าตัวจริงเธอเป็นอย่างไรด้วยซ้ำ

ทั้งคู่จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ความเลว…จนทำให้การถ่มน้ำลายใส่รูปปั้นนี้ กลายเป็นพิธีกรรมประจำชาติ ไปแล้ว ….

บริเวณสุสานของเยวื่อเฟย ที่หางโจว มีการปั้นรูปฉินฮุ่ยและภรรยาให้คุกเข่าอยู่ด้านข้าง โดยตั้งใจให้คนมากระทำแบบที่ตัวร้ายควรได้รับ …..

  ตลอดหลายร้อยปี  ที่คนจีนผ่านไปผ่านมา มีตั้งแต่ชาวนา นักท่องเที่ยว แม่ค้า ไปจนถึงนักเรียนนักศึกษายุคใหม่—ก็ยังคงแวะไปถ่มน้ำลาย ตบหัว เตะเบา ๆ หรืออย่างน้อยก็ถ่ายรูปเยาะเย้ย …

  มันไม่ใช่แค่การลงโทษทางสัญลักษณ์ แต่เป็นการระบายอารมณ์ของสังคมจีนต่อประวัติศาสตร์ที่เจ็บปวด ….

เป็นความรู้สึกว่า “คนแบบนี้ไม่ควรลืม และให้อภัย”
เป็นพิธีกรรมที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปี โดยไม่มีใครบอกให้หยุดทำ…

แม้แต่ยุคอินเทอร์เน็ต คนจีนก็ยังเล่นมุก ฉินฮุ่ยจนกลายเป็น meme ในออนไลน์ เช่น GIF คนเตะรูปปั้น หรือสติ๊กเกอร์รูปฉินฮุ่ยคุกเข่าพร้อมคำด่าแบบฮา ๆ …..

 

แล้วนักประวัติศาสตร์ยุคใหม่คิดอย่างไร กับเรื่องนี้ ?
 ฉินฮุ่ยร้ายจริง หรือก็แค่เหยื่อของยุคสมัย ? 

ประเด็นนี้น่าสนใจมากครับ เพราะในช่วงหลังๆ  มีนักวิชาการจำนวนไม่น้อย  พยายาม “ปลดปล่อยฉินฮุ่ยจากภาพจำ”
พวกเขาตั้งคำถามว่า

  • ถ้าซ่งใต้สู้ต่อจริง ๆ จะไม่ยิ่งตายหนักกว่าเดิมหรือ?
  • ชาวจินมีปืนใหญ่ ม้าเร็ว และทหารชั้นยอด — ซ่งจะชนะได้จริงเหรอ?
  • เยวื่อเฟย แม้จะเก่ง แต่การเมืองในราชสำนัก ไม่รองรับชัยชนะของเขาเลย …
  • การเจรจาอาจเป็นตัวเลือกที่ “เหมาะกับเวลา” มากกว่าที่เราคิด …

ในมุมนี้ ฉินฮุ่ย อาจเป็น “นักการเมืองที่เลือกวิธีที่ไม่สวย แต่ปลอดภัยที่สุดสำหรับประเทศ”
ต่อให้เลือกวิธีที่ประชาชนไม่ชอบ ก็อาจจะเป็นเพราะ เขามองว่าสิ่งนี้จะรักษาชีวิตผู้คนนับล้าน ไว้ได้ (หรือเปล่า ? )

แน่นอน ครับ   มันเป็นมุมมองที่ขัดกับความรู้สึกของประชาชนมาก

….แต่ก็เป็นมุมมองอีกด้าน และอีกเสียงหนึ่ง ที่เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ในวงวิชาการ …

แต่ไม่ว่าจะตีความแบบไหน เรื่องหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ …. ฉินฮุ่ยเป็นบุคคลสำคัญที่สะท้อนความซับซ้อนของ “ภาวะผู้นำในยามประเทศอ่อนแอ”

 เขาเป็นเหมือน กระจกที่สะท้อนคำถามยากๆ ที่ผู้นำทุกยุคต้องตอบไว้ในใจว่า  เราจะยอมสู้จนพัง หรือจะยอมถอยเพื่อรอด?

ฉินฮุ่ย
รูปปั้น ฉินฮุ่ย (Qin Hui) กับภรรยา (นางหวัง)

ทำไม เรื่องราวของฉินฮุ่ย ยังถูกเล่ามาถึงปัจจุบัน? 

    นั่นก็เพราะมันเป็น “บทเรียนประจำชาติ” ของจีนเลยทีเดียว …. ในหนังสือเรียน วรรณกรรม การ์ตูน แม้แต่ซีรีส์จีนแนวกำลังภายใน ตัวละคร “คนทรยศแบบฉินฮุ่ย” โผล่ขึ้นมาตลอดเพื่อเตือนใจผู้คนว่า ….

  • อย่าหักหลังแผ่นดิน
  • อย่าทำลายโอกาสของคนที่พยายาม และกำลังต่อสู้เพื่อชาติ
  • อย่าให้ผลประโยชน์ส่วนตัวบดบังประโยชน์ส่วนรวม

และ ในเวลาเดียวกัน เรื่องของเขาก็สะท้อนอีกด้านหนึ่งว่า

ประวัติศาสตร์ มันไม่ได้ง่ายเหมือนนิทาน”

บางครั้ง  คนที่ถูกเล่าว่าเป็นผู้ร้าย อาจกำลังเผชิญโจทย์ (ที่ไม่มีใครรู้) ว่า ที่ไม่มีทางชนะ ในมุมที่เราไม่เคยเห็น …. ก็ได้ ….

ไม่ว่าฉินฮุ่ย  จะเป็นคนเลวจริง  หรือเป็นเหยื่อความเข้าใจผิด แต่เขาก็กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญ  ในความทรงจำของคนจีนไปแล้ว  ทั้งในฐานะ “ผู้ขายชาติ” และในฐานะ “ตัวอย่างทางการเมืองที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีก”

 เรื่องของเขาจึงยังถูกเล่าต่อๆกันมา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และไม่มีทีท่าว่าจะเลือนหายไปง่าย ๆ เลย  ….

 

ฉินฮุ่ย  เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1155
ได้รับพิธีศพในฐานะขุนนางระดับสูง แต่ ชื่อเสียงของเขา ก็ถูกลบล้างใน ยุคจักรพรรดิซ่งเสี้ยวจง (孝宗)
หลังจากราชสำนักต้องการฟื้นฟูเกียรติของ เยวื่อเฟย (ซึ่งได้รับยกย่องเป็น จงอู่หวาง “忠武王”)

ในปี ค.ศ. 1162

  • ยกเลิกตำแหน่งเกียรติที่เคยมอบให้ ฉินฮุ่ย
  • ประณามเขาในเอกสารทางราชการ
  • ยกย่อง เยวื่อเฟย เป็นวีรบุรุษของชาติ

ในทางวัฒนธรรม ชื่อของเขา กลายเป็นคำพ้องสำหรับ “ทรยศ” (卖国贼). 

ชนชาติจิน (金, Jin)
ชนชาติจิน (金, Jin)

จบ….  เรื่องราวของ ฉินฮุ่ย และนางหวัง คู่รักที่ถูกเกลียดชังที่สุด ในประวัติศาสตร์จีน

โบนัสของแถม
ต่อเนื่องสำหรับเรื่องราวนี้ ถ้าไม่พูดถึง หรือ ขยายความเกี่ยวกับ  ชนชาติจิน (金, Jin) ก็คงจะไม่ได้ เพราะเป็นตัวละครแกนหลักของเรื่องนี้ …..

เรามาทำความรู้จัก  ชนชาติจิน (金, Jin)  กันครับ

ชนชาติจิน (, Jin)  ก็คือ  ชาวหนี่เจิ้น (女真, Jurchen)” กลุ่มชน ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนในอดีต ซึ่งต่อมา กลายเป็นบรรพบุรุษของชาวแมนจู (Manchu) ในสมัยราชวงศ์ชิงนั่นเอง


ถ้าคุณมองดูแผนที่จีนโบราณ  ในสมัยราชวงศ์ซ่ง ตอนเหนือ (ค.ศ. 960–1127) ขึ้นไปทางเหนือ และตะวันออก คือดินแดน ที่มีป่าทึบ ทะเลสาบใหญ่ และกิจกรรมการล่าสัตว์กันเป็นเรื่องปกติ   นั่นคือถิ่นของ ชาวหนี่เจิ้น (Jurchen) พวกเขาเป็นกลุ่มชน กึ่งเร่ร่อน กึ่งเกษตร มีการทำเกษตรนิดหน่อย แต่ล่าสัตว์เยอะกว่า ….  และมีโครงสร้างสังคมเป็นชนเผ่าต่าง ๆ

ภายหลังเผ่าจำปู (Wanyan 完顏)  ลุกขึ้นมารวมชนเผ่าต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน และตั้งตนเป็น ราชวงศ์จิน (金朝) ในปี ค.ศ. 1115

เพราะพวกเขานี่เอง ที่เป็น “ตัวละครสำคัญ” ที่ทำให้ราชวงศ์ซ่งเหนือแตก! จนเกิดเรื่องราวของ ฉินฮุ่ย   นี่แหละ

ตอนแรก ซ่งเหนือไปจับมือกับจิน  เพื่อช่วยกันโค่นราชวงศ์เหลียว (ชาวคิไท) ซึ่งเป็นมหาอำนาจในแถบนั้น แต่พอจิน ได้รับชัยชนะแล้ว  ก็หันมาโจมตีซ่งต่อ แบบไม่ไว้หน้าใคร ….

ผลคือเกิดเหตุการณ์ดังลือลั่นคือ 

靖康之變” (เหตุการณ์จิ่งคัง, ค.ศ. 1127)

ซึ่งกองทัพจินยกมาบุกเมืองไคเฟิง จับจักรพรรดิสององค์ของซ่งเหนือ รวมทั้งราชวงศ์ ขุนนาง และประชาชนจำนวนมากขึ้นไปเป็นเชลยทางเหนือ ….  นี่เป็นเหตุการณ์ที่ฝังใจคนจีนมาก และยังเป็นฉากหลังสำคัญในเรื่องราวของ “เยวื่อเฟย” (岳飛) และ “ฉินฮุ่ย” ที่คุณเพิ่งให้ผมเขียนบทความไปก่อนหน้านี้ด้วย ครับ

    ทำไม ชาวหนี่เจิ้น จึงเป็นยอดนักรบ และมีกองทัพ ที่น่ากลัวที่สุดในดินแดนเหนือ  เพราะว่า …. 

  • เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ต้องล่าสัตว์
  • ขี่ม้าเป็นตั้งแต่เล็ก
  • ใช้อาวุธได้ดีมาก
  • มีวินัยในกองทัพสูงมาก
  • อากาศหนาวจัดทำให้พวกเขาแกร่งเป็นพิเศษ

กองทัพจิน ในยุคแรกจึงเป็นเหมือน  “หน่วยรบม้าธนูที่เร็ว  รุนแรง ฉับไว  และได้ผลที่สุดแห่งหนึ่งในยุคกลางของเอเชียตะวันออก”

สรุป ความสัมพันธ์ จินกับราชวงศ์ซ่ง 
ราชวงศ์ซ่งและชนชาติจินมีความสัมพันธ์ที่เรียกได้ว่า
“ร่วมมือกันแล้วหักหลังกัน อยู่กันแบบรัก ๆ ชัง ๆ”

  • ซ่งเหนือร่วมกับจินล้มเหลียว
  • จินกลับบุกซ่งต่อ
  • ซ่งต้องล่าถอยลงใต้ กลายเป็น “ราชวงศ์ซ่งใต้”
  • ซ่งใต้ตั้งตัวขึ้นใหม่ แต่ก็ยังต้องทำสัญญาสงบศึกกับจินและส่งบรรณาการ

ความสัมพันธ์นี้  นำไปสู่ความตึงเครียดตลอดหลายสิบปี และเป็นฉากใหญ่ที่เกี่ยวพันกับเรื่องราวของ “แม่ทัพเยวื่อเฟย” ที่พยายามรบกับจินเพื่อทวงคืนแผ่นดิน

ประชาสัมพันธ์

.

kombucha by scoby do it

.

หลังจากชนชาติจิน ได้ล่มสลายไป (ศตวรรษที่ 13 โดยกุบไลข่านของมองโกล) …..

ชาวหนี่เจิ้น  ยังคงอยู่ในดินแดนเดิม และค่อย ๆ พัฒนากลุ่มตนเองขึ้นใหม่ จนในศตวรรษที่ 17 พวกเขารวมตัวกันอีกครั้งภายใต้ชื่อใหม่คือ  แมนจู” (Manchu)  และเป็นชนชาติผู้สถาปนาราชวงศ์ชิง (清朝)
พูดง่าย ๆ คือ    จิน = หนี่เจิ้นยุคโบราณ → บรรพบุรุษของแมนจู 


แนะนำหนังสือ ประวัติศาสตร์จีน
: HISTORY OF CHINA พร้อมกล่อง Boxset สวยงาม

หนังสือ ประวัติศาสตร์จีน
หนังสือ ประวัติศาสตร์จีน

เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ว่าด้วยประวัติศาสตร์จีนนับแต่ยุคบรรพกาล หรือก่อนประวัติศาสตร์โดยศึกษาข้อมูลจากหลักฐานโบราณคดีที่ปรากฏ ผ่านการรวบรวมและเรียบเรียงจากนักประวัติศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่การนำเอาตำนานและเรื่องเล่าที่สืบทอดต่อกันมาในวิถีของชาวจีนมาตีความและทำความเข้าใจ ทำให้เห็นพัฒนาการของสังคม วิถีชีวิต สภาพภูมิศาสตร์ ภูมิอากาศที่ส่งผลต่อการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงของคนในแผ่นดินจีน จนกระทั่งมาถึงราชวงศ์แรกนั่นก็คือ ราชวงศ์ซัง
ความโดดเด่นของหนังสือ “ประวัติศาสตร์จีน” เล่มนี้ ที่มีเหนือกว่าใครคือ เป็นหนังสือที่ว่าด้วยประวัติศาสตร์จีนที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งที่มีในเมืองไทย ที่ผ่านมามันเคยถูกจัดพิมพ์ออกมาหลายครั้งหลายหน กล่าวคือนับแต่ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2538 แล้ว ได้มีการพิมพ์ซ้ําต่อเนื่องมาอีกหลายครั้งหลายหน (อย่างน้อยไม่ต่ํากว่า 11 ครั้ง)

สั่งซื้อ >>>  คลิ๊ก 

 



Cultures of Fermented 
by Scoby Doit
Previous Article