miscellaneous

ชะตากรรมของ พระยาทรงสุรเดช | ตอนที่ ๑๖ บุรุษปริศนา (ตอนจบ)

บุรุษปริศนา

  ก่อนสงครามโลกจะยุติ … วันหนึ่ง ในช่วงปลายเดือนเมษายน ปี ๒๔๘๗  ที่บ้านร้านขนมไทย ของพระยาทรงสุรเดช  ในพนมเปญ 

    มีชายไทยหิ้วกระเป๋าเดินทางมาหาท่าน และแนะนำตัวเองว่า เขาเป็นนายทหารยศร้อยเอก เคยเป็นลูกศิษย์ของท่าน มากราบเยี่ยมอาจารย์ ด้วยความเคารพ….  พระยาทรงท่านงุนงงมาก ที่มีศิษย์ซึ่งท่านจำไม่ได้ ทั้งยังเป็นนายทหารประจำการอยู่ แต่ “กล้า” มาเยี่ยมท่านขณะที่คนอื่นหัวหด ?   แต่ด้วยความที่ท่านเคยเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนนายร้อย นายทหารทุกคน ที่ผ่านสถาบันนี้ ถึงจะจำไม่ได้ ท่านก็รับว่าเป็นศิษย์ … ชื่อของ นายร้อยเอกคนนี้ ท.ส.ของท่านมิได้เปิดเผยนามจริง แต่สมมติให้ว่าชื่อ ร้อยเอกเล็ก ผมก็จะเรียกตามไปในชื่อนี้ด้วยก็แล้วกันนะครับ….

เครื่องดื่มชาหมัก kombucha by scoby do it

ร้อยเอกเล็ก  เล่าว่า   ตนได้รับคำสั่ง ให้ไปเรียนงานการพิมพ์แสตมป์ และธนบัตรที่ญี่ปุ่น ๓ ปี สำเร็จแล้ว จึงเดินทางกลับ โดยทางเครื่องบิน มาลงที่ไซ่ง่อน  …

 ….แทนที่จะขึ้นเครื่องต่อไปกรุงเทพฯ  เพื่อรีบกลับบ้านไปหาครอบครัวที่จากกันมานานหลายปี แต่นี่แบกกระเป๋าพะรุงพะรัง ขึ้นรถขนส่ง นั่งหลังขดหลังแข็ง อีกหลายชั่วโมง จากไซ่ง่อนมาพนมเปญ แค่จะมาเยี่ยมเคารพอาจารย์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก ทั้งที่มิได้ไม่คุ้นเคยกันเลย ??

แม้จะฟังดูแปลกๆ ท่านก็เชิญขึ้นบ้าน เลี้ยงอาหารกลางวัน กันตามมีตามเกิด การสนทนาก็ไปในแนวคำถามคำตอบเกี่ยวกับสารทุกข์สุขดิบ ทั่วไป  หน้าที่การงาน บ้านเมืองของเขาของเรา ครั้นได้เวลาอันควรที่แขกควรจะลากลับได้แล้ว ท่านก็ถามร้อยเอกเล็กว่า จะพักที่ไหน ?   …. พระยาทรงฯ ท่านหมายถึง ตั้งใจจะพักที่โรงแรมไหน…. ซึ่งมีอยู่หลายแห่งในพนมเปญ …. ร้อยเอกเล็ก ก็ทำหน้างงๆ  อึกอักอยู่  …. พระยาทรงท่านเลยบงการให้ จัดที่นอนให้แขกในเรือนหลังเล็ก ซึ่งร้อยเอกสำรวจ พักอยู่กับมารดาของตนคนละห้อง โดยมารดาของร้อยเอกสำรวจ จะต้องย้ายขึ้นไปนอนบนเรือนใหญ่ ที่พระยาทรง และครอบครัวพักอยู่

    “เขาเดือดร้อนกันขนาดนั้น ร้อยเอกเล็ก ก็ยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เหมือนไม่มีเงินพอค่าโรงแรมซะงั้น ทีค่าเครื่องบินค่ารถ ที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาตั้งไกลยังจ่ายได้ ? ”  

วันรุ่งขึ้น ร้อยเอกสำรวจ ก็พาร้อยเอกเล็กไปเที่ยวเมือง แวะชมตลาดอาหารสดที่ทันสมัย ที่ฝรั่งเศสสร้างขึ้น แวะซื้อขนมชั้นญวน ที่ร้อยเอกสำรวจบอกว่า อาจารย์ใหญ่ชอบนัก เป็นของโปรดอันดับหนึ่ง จะเอาไปฝาก อีกวันต่อมา ร้อยเอกเล็ก หายไปคนเดียวแต่เช้าตรู่ กลับมาพร้อมขนมชั้นญวนสองชิ้น เป็นของฝากอาจารย์ พระยาทรงฯ ก็ฉลองศรัทธา รับประทานต่อหน้าเขาเกือบหมดทั้งสองชิ้น ….

ร้อยเอกเล็กมิได้อยู่แค่วันสองวัน ตามที่บอกแต่แรก

แต่ทำตัวสนิทสนม เข้านอกออกในบ้าน กินอาหารร่วมกันทุกมื้อ อยู่เกือบสัปดาห์ จึงกราบลาอดีตอาจารย์ ไปขึ้นรถไฟขบวนพิเศษของทหารญี่ปุ่นเข้ากรุงเทพ ก่อนไปได้ให้สัญญาอย่างแข็งขันว่า “จะรีบเขียนจดหมายส่งข่าวทันทีที่ถึงเมืองไทย” แต่ก็รอจนทุกคนลืมไปหมดแล้ว จดหมายนั้นก็ยังไม่ได้รับ ….

วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๔๘๗

ใกล้จะเที่ยงวัน….  พระยาทรงฯ ถีบจักรยานกลับจากตลาด ถึงบ้านแล้ว ก็ลงมือเช็ดถูทำความสะอาดจักรยานตามปกติ ปากก็บ่นว่าของมันแพงขึ้นทุกที ไอ้โน่นไอ้นี่ ก็ขาดตลาด คนฟังก็นั่งตัดเย็บใบตอง ห่อขนมฟังไปเพลินๆ พอสงสัยว่า ยังไม่จบเรื่องทำไมเงียบไปเฉยๆ เห็นท่านพยายามจะยกมือปาดเหงื่อบนใบหน้า แต่แล้ว กลับล้มคว่ำลงปะทะกับจักรยานดังโครม เสียงหวีดร้อง พร้อมกันของผู้หญิง ทำให้ร้อยเอกสำรวจ วิ่งมายกไหล่ท่านขึ้นจากพื้น ประคอง สอดหมอนหนุนใต้ศรีษะ ท่านหายใจแผ่วๆ เหงื่อยังคงผุดเต็มใบหน้า หลังจากนวดเฟ้น และให้ดมแอมโมเนีย พักใหญ่ ท่านก็เผยอเปลือกตาขึ้น มาถามว่า “นี่กันเป็นอะไรไป” ?

เมื่อพยายามจะลุกขึ้นเอง  แต่ลุกไม่ได้ ท.ส.จึงประคองท่านไปนอน หลังจากหลับเป็นตายไปหลายชั่วโมง ท่านจึงดีขึ้นมาก สามารถเล่าอาการแต่แรกเริ่มให้ฟัง ได้อย่างปะติดปะต่อ ท่านคิดว่าท่านเป็นลม เพราะขี่จักรยานในขณะอากาศร้อนแดดจัด อายุเข้า ๕๒ แล้ว ควรต้องระวังสุขภาพมากกว่านี้ หลังจากพักฟื้นสองวัน ท่านก็ขี่จักรยานเล่นในตอนเย็นได้ กลับมาก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร คนทั้งบ้าน รวมถึงตัวท่านเองด้วยก็นึกว่า อาการป่วยชั่ววูบนั้น หายเป็นปกติดีแล้ว …..

๒๔ พฤษภาคม ใกล้ค่ำ

รู้สึกอ่อนเพลีย ไปหาหมอๆ ฉีดยาบำรุงกำลัง ให้เข็มหนึ่ง ท่านหลับไปตอนดึก เมื่อฟ้าสาง คุณหญิงสังเกตุว่า พระยาทรงฯ นอนแขนเกร็งและมีอาการกระตุก จึงพยายามปลุก แต่ไม่ค่อยจะรู้สึกตัว เมื่อรุมกันนวดเฟ้น ก็พอขานรับการเรียกชื่อได้ แต่ก็อาเจียนออกมาเป็นน้ำ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญชาวฝรั่งเศส ที่รีบไปเชิญมาตรวจอาการ เห็นแล้ว ใช้เข็มเจาะเส้นเลือดใหญ่แล้วดูดเอาเลือดจากแขนท่านออกมาสองหลอดใหญ่ ท่านออกอาการเจ็บแสดงว่าสติกลับคืน พอหมอเรียกชื่อ ก็ขานรับ สิบห้านาทีต่อมา ท่านสามารถพูดกับหมอด้วยภาษาเยอรมันได้….

เหมือนมหัศจรรย์ ที่เพียงแค่ดูดเลือด คนไข้ที่ไม่มีสติ ก็กลับพูดได้ …

หมอบอกว่า “ท่านมีอาการของโลหิตเป็นพิษ” มีความเข็มข้นสูง พร้อมจะแข็งตัวเมื่อถูกอากาศ เมล็ดโลหิต เต็มไปด้วยพิษร้าย จะต้องรีบนำไปส่งหอวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อทำการวิเคราะห์ หมอได้สั่งยาให้สามขนาน เป็นยาถ่ายหนึ่ง ยาบำรุงกำลังหนึ่ง ส่วนยาล้างพิษในกระแสโลหิต ในระหว่างสงครามไปหาซื้อที่ไหนก็ไม่มี

บ่ายวันนั้น มองซิเออร์ เซมเปร
เพื่อนฝรั่งเศสคนเดียวที่อยู่ในพนมเปญก็มาเยี่ยม…

เมื่อทราบอาการแล้ว ก็มีสีหน้าไม่สู้ดี บอกว่าพ่อเขาตายก็เพราะโรคนี้ หมอคนเดียวกันนี่แหละ ที่รักษา บอกให้พ่อเลิกเหล้า ก็อยู่มาได้หลายปี แล้วก็กลับมาดื่มจัดอีก แถมโมโหร้าย เช้าวันนึง คนเข้าไปพบว่า นอนสิ้นลมอยู่กับพื้นแล้ว …..พระยาทรงฯ บอกว่า ถ้าท่านจะตายอย่างนั้นได้ก็ดี ไม่รู้สึกตัวแล้ว ขาดใจตายไปเฉยๆ ไม่ต้องเจ็บปวดทรมาน แต่ครอบครัวของท่านรู้สึกเบาใจนิดนึง เพราะพระยาทรงฯ ท่านไม่ดื่มจัด อย่างพ่อของมองซิเออร์ เซมเปร เป็นนักดื่มขนาดหนัก ยังอยู่ได้หลายปีกว่าจะตาย….

     พระยาทรงสุรเดช  ยังต้องนอนรักษาตัวอยู่กับบ้าน ลุกขึ้นมาไม่ได้ เวียนศรีษะ ที่เคยอารมณ์ดีก็เริ่มฉุนเฉียว เห็นไอ้โน่นไอ้นี่ ขัดหูขัดตาไปหมด มีอาการหลงลืม ถามซ้ำแล้วซ้ำอีก จนคนถูกถามนึกว่าแกล้งล้อเล่น


ม.ล.ชัยนิมิตร นวรัตน
นี่ผมเล่าละเอียดโดยมิได้คิดจะให้เป็นดราม่านะครับ แต่หวังว่าหากมีคุณหมอเข้ามาอ่าน จะได้เข้าใจสาเหตุจากอาการของโรคเหล่านี้ ….


คืนวันที่ ๓๑  ท่านอาการดีขึ้น นอนคุยหัวเราะสนุกสนานกับลูกหลาน ตอนค่ำร้านปิด เด็กเอาเงินที่ขายขนมมาให้คุณหญิง แล้วแจ้งยอดว่า วันนี้ขายได้เกือบสองร้อยเหรียญ ท่านมีสติดีที่จะได้ยินเขาพูดกัน แล้วยังกล่าวว่า ค่อยยังชั่ว ถ้าขายได้อย่างนี้ อีกสามสี่เดือนก็ฟื้นตัวแล้ว ….

เวลา ๐๔.๒๘ ของเช้าวันรุ่งขึ้น

คุณหญิงได้ยินเสียงผิดปกติ ที่ไม่ใช่กรน ก็ลุกขึ้นมาดู เห็น พระยาทรงสุรเดช แขนเกร็งอย่างอาการคราวที่แล้ว ทุกคนถูกปลุกขึ้นมาช่วยกันนวดเฟ้น ทายาถูเนื้อถูตัวให้เกิดความร้อน แต่ท่านไม่สนองหรือตอบรับคำพูดใดๆ ….

 นายแพทย์คนเดิม  รีบมาในเวลาไม่ถึง ๔๕ นาที แล้วรีบลงมือ จะดูดเลือดอย่างเคย….

     ครั้งนี้  เข็มไม่สามารถแทงเข้าในเส้นเลือดได้  ?!  เพราะโลหิตแข็งตัวมาก แม้จะใช้ใบมีดโกนหนวดอันคมกริบกรีดนำ แล้วเอาเข็มแทงเส้นเข้าไปก็ดูดโลหิตออกมาไม่ได้   ด้วยความชำนาญ  หมอเปลี่ยนวิธีการใหม่โดยฉับพลัน จับคนไข้นอนคว่ำหน้า เอาใบมีดกรีดเป็นริ้วๆ ตลอดแผ่นหลัง แล้วใช้แก้วลนไฟ ไล่อากาศออกคว่ำครอบแผลไว้ พอแก้วเย็น ก็จะเกิดแรงดูดขึ้นมาเอง เพียงสิบห้านาที โลหิตใหลออกมาแผลละครึ่งแก้ว ข้นคลั่ก …..   แต่อาการของพระยาทรงมิได้ดีขึ้น   มีกระตุกเป็นระยะๆ กัดฟันแน่นจนขากรรไกรนูน น้ำลายฟูมปาก ปรากฎเสียงครอกๆ ในลำคอแผ่วเบาในระยะห่างๆ หัวใจเต้นอ่อนลงๆ ตามลำดับ…

ถึงตอนนี้ นายแพทย์ได้แสดงอาการสิ้นหวัง…  เขากล่าวอำลาเจ้าของไข้ อย่างเศร้าๆ  แล้วเดินไปขึ้นรถ ก่อนขับหายไป ในความขมุกขมัวของแสงแดดยามย่ำรุ่ง เขาแอบกระซิบกับร้อยเอกสำเร็จ ว่า ….

“….พระยาทรงฯ จะอยู่ได้ไม่เกินแปดโมงเช้า ต่อจากนั้นกายของท่านค่อยๆสงบลง เหลือเพียงการเต้นของหัวใจที่แผ่วลงๆ และหยุดนิ่งในที่สุดก็เมื่อเวลา ๐๘.๓๑ น. ….”

พระยาทรงสุรเดช ถึงแก่กรรม  บนเตียงไม้กระดานของท่าน ที่ปราศจากฟูกเพราะความยากจน สิ้นสุดชีวิตที่ผกผัน มีอำนาจและเสื่อมอำนาจ มีอันจะกิน และไม่พอจะกิน มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนจนวันตายก็คือ “การไม่ยอมแพ้ต่อความชั่วที่จะดึงท่านลงต่ำ”

พระยาทรงสุรเดชสามารถรักษาศักดิ์ศรีแห่งตนไว้ได้จนนาทีสุดท้าย ….

    ศพของท่าน ในโลงฝีมือเพื่อนบ้านชาวเขมร ที่มาช่วยกันทำบุญ โดยการออกแรงเลื่อยไม้ ต่อขึ้นอย่างง่ายๆ ถูกยกไปขึ้นรถบรรทุกศพเทียมม้าเดี่ยวที่ผอมเห็นซี่โครง ดอกไม้ประดับเป็นดอกไม้สดที่จัดขึ้น แม้จะพร่องด้วยฝีมือ แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความรัก และภักดี  

ภาพจำลอง งานประชุมเพลิงศพ พระยาทรงสุรเดชในพนมเปญ

ขบวนที่เดินตามศพไปสู่เมรุวัดปทุมวดีนั้น มีคนไทย ๑๖ คน ชาวบ้านชาวเมือง มาสมทบไม่เกินสามร้อย นอกจากคนเขมรแล้ว มีชาวฝรั่งเศส และญวนอยู่ประมาณหนึ่งในสิบ ขณะเริ่มการฌาปนกิจ ทหารเขมร หนึ่งหมวดภายใต้บังคับบัญชาของนายทหารฝรั่งเศส กระทำวันทยาวุธ พร้อมเป่าแตรนอนอันโหยหวน ให้เกียรติตามพิธีทหาร

 หลังการสิ้นอำนาจของจอมพล ป.  นายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน นายกรัฐมนตรี ควง อภัยวงศ์ และอธิบดีกรมตำรวจ พล.ต.อ.อดุล อดุลเดชจรัส ได้ร่วมมือกัน ส่งผู้แทนมารับอัฐิ พันเอกพระยาทรงสุรเดช ที่ชายแดนไทย กรมรถไฟได้จัดรถพิเศษ มานำอัฐิของท่านเข้ากรุงเทพ …


ใครอยู่เบื้องหลังบุรุษปริศนา?

ประโยคข้างบนชัดเจนนะครับ “ผู้ใหญ” สองคนที่อาบู เล่าว่า  ได้แสดงความยินดีที่จะร่วมมือต่อต้านญี่ปุ่นกับท่านคือใคร  ส่วน ร้อยเอกเล็ก ซึ่งไม่มีใครเห็นหัวอีกเลย หลังจากร่ำลากันที่พนมเปญแล้ว…. น่าจะฟันธงได้ว่า เขาเป็นสายลับ ที่ถูกส่งมาดูความเคลื่อนไหว อย่างละเอียดถึงก้นครัว ไม่ใช่แค่ มาด้อมๆมองๆ อยู่ข้างบ้าน แล้วกลับไปบอกนาย ส่วนจะกระทำอะไรเกินไปจากนั้น ยังสรุปไม่ได้ เพราะยังเป็นปริศนาว่า ใครเป็นผู้ส่งเขามา…?

คนแรก ที่ให้ข้อมูลแก่ร้อยเอกสำรวจ เมื่อกลับมากรุงเทพแล้วก็คือ หลวงจรูญฤทธิไกร อดีตเอกอัครราชทูตประจำไซ่ง่อน เล่าให้ฟังว่า ….  ร้อยเอกเล็กไปพบกับท่าน หลังเดินทางมาจากโตเกียว เพื่อสอบถามว่า จะมาพบพระยาทรงฯ ได้อย่างไร หลวงจรูญได้บอกที่อยู่ให้ พร้อมทั้งแนะนำว่า ที่พนมเปญนั้น ควรพักโรงแรมอะไร เพราะบ้านของพระยาทรงมีคนอยู่แยอะ และค่อนข้างคับแคบ คนไทยคนอื่น ก็ล้วนอยู่อย่างยากจน ไม่ควรจะไปรบกวนกันในเรื่องของที่อยู่ที่กิน ….

แต่ก็ปรากฏแล้วว่าร้อยเอกเล็ก ก็ทำไขสือ ???
เพราะเขาต้องการข้อมูลระดับลึก ไปรายงานเจ้านาย คำมั่นสัญญาต่างๆ จึง เป็นแค่ลมปาก

แม้เมื่ออัฐิพระยาทรงฯ ถึงเมืองไทย ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมเป็นประธานจัดงานบำเพ็ญกุศลให้ ณ วัดพระศรีมหาธาตุ หนังสือพิมพ์และวิทยุออกข่าวเอิกเริก คนที่เคารพนับถือท่าน ได้ไปร่วมงานเป็นร้อยเป็นพัน แต่ปราศจาก ร้อยเอกเล็ก เขาหายตัวไปอย่างสิ้นเชิง เฉกเช่นสายลับระดับเจมส์ บอนด์ …

แต่เหตุผลที่ว่ามา ก็ยังขาดน้ำหนัก ที่จะปรักปรำว่าเขาเป็นฆาตกร..

จนสิบปีต่อมา ร้อยเอกสำรวจ ได้เข้าศึกษาโรงเรียนเสนาธิการทหารบก พบเพื่อนนายทหารคนหนึ่ง รื้อฟื้นความจำให้ฟังว่า ประมาณปี ๒๔๗๖ ขณะที่พระยาทรงฯ เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ท่านได้มีคำสั่งด่วนให้นายทหารยศร้อยตรีคนหนึ่ง ออกจากราชการ ภายใน ๒๔ ชั่วโมง ฐานกระทำความผิดชู้สาว สร้างความเสื่อมเกียรติ ถึงสถาบัน ร้อยตรีผู้นั้นคือ คนๆเดียวกับร้อยเอกเล็ก ??!!!

“บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ”

เมื่อพระยาทรงสุรเดช พ้นจากตำแหน่งทางราชการทหารแล้ว ร้อยตรีคนนี้  ได้วิ่งเข้าหาหลวงพิบูลสงคราม จึงได้กลับเข้ารับราชการอีกครั้งหนึ่ง เข้าทฤษฎี “บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ” ร้อยเอกสำรวจ กาญจนสิทธิ์ สรุปในย่อหน้าสุดท้ายของบทนี้ว่า…

“….. วงการทหารญี่ปุ่น และอินโดจีนฝรั่งเศส เข้าใจเช่นเดียวกันว่า ความตายของพระยาทรงสุรเดช มีความลึกลับ น่าสงสัยจะถูกวางยาพิษ ซึ่งร้อยเอกสำรวจ ตบท้ายให้ตนพ้นข้อหาหมิ่นประมาทว่า มันก็อาจจะเป็นไปได้


ม.ล.ชัยนิมิตร นวรัตนท่านผู้อ่านสกุลไทย โปรดเข้าใจนะครับ ผมเขียนเรื่องนี้ ครั้งแรกเป็นลักษณะกระทู้ในเรือนไทยดอทคอม เชิญชวนให้ทุกคนเข้ามาแสดงความเห็น หรือเสริมความได้ตลอดทุกตอนที่เรื่องดำเนินไป ครั้นมาถึงช่วงนี้ เนื้อเรื่องมันบีบให้คนอ่าน ใคร่จะหาความจริงที่ว่า  “ถ้าพระยาทรงฯ ถูกวางยาพิษ”  อย่างที ร้อยเอกสำรวจ ท.ส.ของท่านเรียบเรียงไว้ระหว่างบรรทัดแล้ว จะเป็นใครล่ะ ที่อยู่เบื้องหลังการตายของท่าน ????   มีการถาม การตอบ วิเคราะห์โน่นนี่นั่น จนคอมพิวเตอร์ร้อนฉ่า….

ถ้าอ่านมาตั้งแต่ต้น ท่านผู้อ่าน คงจะประจักษ์แล้วว่า ผู้ที่ต้องการกำจัดพระยาทรงสุรเดช และลงมือถอนรากถอนโคนขนาดกวาดล้างญาติมิตร ผู้ใต้บังคับบัญชาสนิทชิดเชื้อ ขึ้นศาลพิเศษสั่งประหารเสีย ๑๘ ศพนั้น มีเพียงสองคน   …. หนึ่งคือ  จอมพล ป. พิบูลสงคราม และ สอง คือ   พล.ต.อ.อดุล อดุลเดชจรัส แต่ในช่วงที่พระยาทรงฯ ถึงแก่กรรมนี้ บุคคลทั้งสองกินเกาเหลาอยู่คนละขั้ว ไม่ลงรอยกันเสียแล้ว….

ก่อนที่จะเลยเถิดกันไปใหญ่ ฟ้าก็ส่งผู้ที่ใช้นามแฝงที่ทุกคนคุ้นกันดีว่า CVT ให้เข้ามาในกระทู้ของผม ด้วยการเบิกความโหมโรงว่า …

“อาจารย์ครับ ผมขอสารภาพบาปครับ ผมเป็นหมอครับ ไม่ธรรมดาด้วย เพราะผมจบเฉพาะทางด้านผ่าตัดหัวใจ แต่ผมละทิ้งงานด้านรักษาพยาบาลมาประมาณ ๕ ปีแล้ว วันนี้ก็ มัวแต่ประชุม เลยรออ่านกระทู้นี้ ตอนเลิกงาน เดี๋ยว อ่านจบแล้วมีประเด็นอะไรทางการแพทย์ที่ผมช่วยได้ ผมจะช่วยเพิ่มเติมให้ครับ” -CVT  

หลังจากรออย่างใจจดใจจ่อ คุณหมอก็เข้ามาโพสต์ต่อว่า ….

“การเคลื่อนไหวของท่านที่ใช้ อาบู สืบข่าวในเมืองไทย เป็นไปได้มาก ว่าจะรั่วไหลไปถึงหูผู้มีอำนาจ” ท่านคงถูกจับตามาตลอด จนในที่สุดร้อยเอกเล็ก ก็ถูกส่งเข้ามาประชิดตัวท่าน

แต่ สรุปเรื่องอาการป่วยของพระยาทรงสุรเดชก่อนนะครับ….

อาการ เหงื่อออก เป็นลม หมดสติ เป็นอาการของภาวะเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
มีสาเหตุสำคัญคือ

๑. จากสมอง เช่นโรคหลอดเลือดสมองอุดตัน หรือหลอดเลือดสมองแตก

๒. จากหัวใจ เช่นกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เป็นเหตุให้เกิดการเต้นผิดจังหวะของหัวใจจนปริมาณเลือดที่สูบฉีดออกจากหัวใจไปเลี้ยงร่างกายและสมองน้อยกว่าปกติ

      ไม่ได้เล่าว่าท่านมีอาการอื่น เช่นเจ็บแน่นหน้าอกร่วมด้วยหรือไม่ เพราะถ้ามีอาการนี้บ่งชี้ไปทางโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด การที่เจาะเลือดแล้วทิ้งไว้ มีการแข็งตัว ปกติเลือดคนเราถ้าทิ้งไว้ประมาณ ๕-๑๐ นาที จะมีการแข็งตัวเอง เป็นกลไกการแข็งตัว ที่เกิดจากสารพวกเอนไซม์ในเลือด

       การที่หมอเจาะเลือดท่านเจ้าคุณไม่ได้ ไม่น่าจะเป็นเพราะเลือดแข็งตัว เพราะคนมีชีวิต เลือดจะไม่แข็งตัวภายในหลอดเลือด ยกเว้นเป็นโรคบางอย่าง แต่กรณีท่านเจ้าคุณ น่าจะเกิดจากภาวะช๊อค ที่เรียกว่า cardiogenic shock คือ การที่หัวใจทำงานผิดปกติ ทำให้เลือดที่สูบฉีดจากหัวใจไปเลี้ยงร่างกาย และสมองน้อยมาก จนทำให้ความดันโลหิตต่ำมาก ร่างกายจะตอบสนองด้วยการหดตัวของหลอดเลือด เพื่อเพิ่มความดันโลหิต จึงทำให้หลอดเลือดเล็กกว่าปกติมาก จนแทงเข็มไม่เจอหลอดเลือด …

       ท่านเจ้าคุณไม่มีอาการของโลหิตเป็นพิษ หรือ septicemia เพราะภาวะโลหิตเป็นพิษ จะเป็นภาวะแทรกซ้อนจากการที่ ร่างกายมีการติดเชื้ออย่างรุนแรง เช่นมีบาดแผลสกปรก หรือมีการติดเชื้อในระบบต่างของร่างกายในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่นเป็นปอดบวม จากเชื้อแบคทีเรียในคนสูงอายุ จนเชื้อกระจายไปตามกระแสโลหิตทั่วร่างกาย จนอวัยวะต่างๆเสียหายทำงานผิดปกติ …

         ส่วนโรคที่เลือดแดงข้นกว่าปกติ เนื่องจากมีปริมาณเม็ดเลือดแดงสูงกว่าปกติมาก เรียกว่า Polycythemia vera อาจจะเป็นเหตุให้ เลือดในหลอดเลือดข้นผิดปกติ เป็นเหตุให้เลือดไปเลี้ยงร่างกาย และสมอง หรือหัวใจเองน้อยได้เช่นกัน วิธีการเอาถ้วยลนไฟแล้วไปแปะที่รอยกรีดที่หลังเพื่อดูดเลือด เป็นการรักษาแบบโบราณที่เชื่อว่าเป็นการถอนพิษในกระแสโลหิต บางครั้งเราอาจจะเคยได้ยินการใช้ปลิงดูดเลือดเพื่อรักษาโรคของคนโบราณ …

    ผมอ่านเรื่องของท่านเจ้าคุณแล้ว ไม่คิดว่าท่านโดนวางยา โดยการผสมมาในขนม แต่มีอาการของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ซึ่งโรคนี้ อาจจะไม่มีอาการนำมาก่อนเลยก็ได้ ถ้าเราจำได้เมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว มีผู้บรรยายกีฬาของช่อง ๗ สี ท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นรุ่นน้องวชิราวุธ ของคุณ Navarat. C เป็นคนแข็งแรงดี เป็นนักกีฬา ไปเล่นเทนนิสแล้วมีอาการเจ็บหน้าอกหมดสติจนเสียชีวิต ก็มีลักษณะแบบเดียวกับท่านเจ้าคุณครับ …..

แล้วคุณหมอ CVT ก็สรุปประโยคทอง …

“ผมฟันธงครับว่าพระยาทรงสุรเดชไม่ได้ตายจากการถูกวางยาพิษในอาหารครับ”

……

ประชาสัมพันธ์

 Xiaomi Kingsmith Walking Pad R1 Pro/ R2
ลู่เดิน/วิ่งไฟฟ้า พับเก็บได้ สำหรับการออกกำลังกายภายในบ้าน >>  คลิ๊กดูเพิ่มอีก 

 

 

ดีใจให้กับตนเอง ที่ตั้งกระทู้นี้   มาเขียน คนท่องเว็บทั้งหลาย ซึ่งได้เห็นแต่ข้อความที่ลอกๆต่อๆ  กันมาว่า  พระยาทรงสุรเดชถูกวางยาพิษ และระบุผู้สั่งฆ่าโดยไม่มีความพยายามจะตรวจสอบข้อมูลก่อน คงได้ประจักษ์ข้อเท็จจริง ที่หักล้างความเข้าใจเดิมๆด้วยเหตุผลทางการแพทย์ที่ปราศจากอคติ ….

ณ บัดนี้ จำเลยในกระทู้ ทุกคนเป็นอิสระต่อข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังฆาตกร โดยสิ้นเชิง ….

ครับ พระยาทรงสุรเดช   ท่านเพียงแต่อาภัพอับโชค ที่สุดของมัน คือ การเสียชีวิตด้วยโรคปัจจุบัน ในระยะเวลาอันสั้น ก่อนที่รัฐบาลใหม่ จะออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม นักโทษการเมือง ที่จะทำให้ท่านมีโอกาสกลับเมืองไทย มิใช่เหลือเพียงอัฐิ ที่ได้รับเกียรติ ถูกนำไปบรรจุในอนุสรณเจดีย์ของผู้ก่อการ ๒๔๗๕ เคียงข้างผู้ร่วมอุดมการณ์ปฏิวัติทุกคน ….

 

ฐานพระเจดีย์วัดพระศรีมหาธาตุ ที่พำนักสุดท้าย ของทหารเสือคนสำคัญของคณะราษฎร์ และผู้ร่วมอุดมการณ์ปฏิวัติ ทั้งจริงใจและจอมปลอม

 

 


บทความ |เรียบเรียง
โดย  :  ม.ล.ชัยนิมิตร นวรัตน

 

ติดตามตอนที่ 1 – 15  :   ชะตากรรมของพระยาทรงสุรเดช  หนึ่งในสี่ทหารเสือคณะราษฎร์



Cultures of Fermented 
by Scoby Doit
Previous ArticleNext Article