miscellaneous, Thai Book Review แนะนำหนังสือ

โอบกอดด้วยความเข้าใจ พัฒนาเด็กอ่อนไหวให้เติบโต | แนะนำหนังสือ

โอบกอดด้วยความเข้าใจ พัฒนาเด็กอ่อนไหวให้เติบโต

   ถ้าคุณมีสถานะเป็นคุณพ่อ คุณแม่  คุณ “ต้องมี” หนังสือ “โอบกอดด้วยความเข้าใจ พัฒนาเด็กอ่อนไหว ให้เติบโต” เล่มนี้ไว้เป็นคู่มือ ในการเลี้ยงลูก รวมถึงผู้ปกครอง หรือผู้เลี้ยงดูเด็กมืออาชีพ รับประกันว่าเกิดประโยชน์อย่างแน่นอน …

คุณเข้าใจ หรือรับรู้ความรู้สึกของเด็กๆ ดีแค่ไหน ?

…..  คำถามนี้ อาจจะมีคำตอบได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของคุณเอง รวมถึงทุกสิ่งที่แวดล้อมตัวคุณ แต่เชื่อว่า โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้ใหญ่มักใช้ความรู้สึกจากมุมมองของตนเองเป็นที่ตั้ง ในการตัดสินความรู้สึกของเด็กมากกว่า ….

ยิ่งในสังคมยุคปัจจุบัน การเลี้ยงเด็กให้เติบโตมาในท่ามกลาวที่ AI กำลังครอบงำวิถีชีวิตผู้คน และความคิด จนบางครั้ง ดูเหมือนขาดอิสระในการใช้ชีวิต ทำให้หลายคนที่อยู่ภายใต้การครอบงำของเทคโนโลยียุคใหม่ ที่ดูไร้ชีวิตชีวา และความรู้สึก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กๆ ที่เกิดมาในยุคนี้ ซึ่งจัดว่า เป็นยุคปราบเซียนในการเลี้ยงลูก ให้เติบโตได้อย่างมีคุณภาพทั้งในด้านอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด  …..
หลายครอบครัว  เลี้ยงลูกด้วย สมาร์ทโฟน ปล่อยให้สมาร์ทโฟน ทำหน้าที่เป็นพ่อแม่ ผลที่ได้คือ เด็กๆ ขาดปฏิสัมพันธ์กับผู้คนและสังคมรอบข้าง  กลายเป็นเด็กปรับตัวยากจนพัฒนากลายเป็นมนุษย์  Introvert  ที่สังคมไทยต่างขนานนามให้กับผู้คนที่มักใช้ชีวิตแบบเก็บตัว ไม่ชอบเข้าสังคม ซึ่งอาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตในอนาคตของเด็กๆ ได้

 

หนังสือ “โอบกอดด้วยความเข้าใจ พัฒนาเด็กอ่อนไหวให้เติบโต”  โดยผู้เขียน แพทย์หญิงตวงพร สุรพงษ์พิวัฒนะ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น อดีตจิตแพทย์ประจำโรงพยาบาล และหัวหน้ากลุ่มงานจิตเวช โรงพยาบาลศูนย์สุรินทร์ อาจารย์พิเศษ และวิทยากรรับเชิญ และที่สำคัญคือ คุณหมอเป็นคุณแม่ของลูกสาวที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นอีกช่วงวัยของชีวิตที่ต้องสร้างความเข้าใจอย่างมากที่สุดอีกช่วงเวลาหนึ่ง

รีวิว แนะนำหนังสือ “โอบกอดด้วยความเข้าใจ พัฒนาเด็กอ่อนไหว ให้เติบโต”
โดย :  เพจ fb / Thai Book Review แนะนำหนังสือน่าอ่าน 

หนังสือ  “โอบกอดด้วยความเข้าใจ พัฒนาเด็กอ่อนไหวให้เติบโต”

เปรียบเสมือนคู่มือในการเลี้ยงลูกตั้งแต่เล็กจนเติบโตเป็นวัยช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เนื้อหาในเล่มอ่านทำความเข้าใจได้ไม่ยาก  โดยส่วนตัวไม่มีลูก แต่มีหลานวัยกำลังซน อ่านแล้ว ก็ลองพิจารณาตามความเป็นจริง และได้เห็นถึงสาเหตุว่า ทำไมหลานของเรา ถึงได้ขี้น้อยใจ บางครั้ง ก็น้อยใจเงียบๆ บางครั้งร้องไห้เสียงดังโวยวาย  เลือกกิน ชอบกินแต่เมนูอาหารซ้ำๆ ชอบวิ่งหนีเมื่อเจอกัน ฯลฯ   และก็ได้คำตอบจากในเล่มนี้  ที่คุณหมอตวงพร ได้อธิบายว่า นี่คือพฤติกรรมของ “เด็กอ่อนไหวง่าย”  ……
    อ่านมาถึงตรงนี้ ….. ก็ชวนให้คิดว่า  พฤติกรรมแบบนี้จัดอยู่ในกลุ่มเด็กอ่อนไหวง่ายได้อย่างไร ?  นี่หลานของเราเป็นเด็กเซนซิทีฟหรือ? ….  สารพัดคำถามทำให้ฉุกคิดขึ้นมาทันที ซึ่งแน่นอนว่า คำว่า “อ่อนไหวง่าย” ไม่มีอยู่ในความคิด และเชื่อมั่นว่าผู้ปกครอง คุณพ่อคุณแม่หลายท่านก็คงคิดไม่ถึงเช่นกัน แต่คุณหมอได้อธิบายเพิ่มเติมว่า อ่อนไหวง่าย คือ ความพิเศษอย่างหนึ่ง ที่คุณพ่อคุณแม่ หากได้ทำความเข้าใจ เอาใจใส่ความรู้สึกของเด็กๆ ก็จะสามารถพัฒนาความพิเศษให้เกิดกับลูกๆ ของตนได้ จนในที่สุดอาจจะนำพาการค้นพบความสามารถของเด็กๆ ต่อยอดไปจนเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพที่ดีของสังคมในวันข้างหน้าได้เช่นกัน …..
เด็กอ่อนไหวง่าย    ยังมีคำจำกัดความเพิ่มเติมคือ เป็นเด็กที่มีพื้นฐานอารมณ์แบบปรับตัวช้า การปรับตัวช้าในที่นี้  ไม่ได้เป็นข้อเสียแต่หากเป็นข้อดีที่เด็กๆ เป็นคนที่มีความละเมียดทางด้านอารมณ์ การรับรู้และความรู้สึก นับเป็นความพิเศษที่สำคัญของเด็กๆ เพราะเด็กอ่อนไหวง่ายจะมีประสาทสัมผัสและการตอบสนองที่ไวกว่าเด็กทั่วไป มีจินตนาการและสุนทรียภาพในการคิด เข้าอกเข้าใจผู้อื่นได้เป็นอย่างดี

ความพิเศษเหล่านี้ …. หากคุณพ่อคุณแม่เข้าใจ ก็จะสามารถเลี้ยงดูเด็กๆ กลุ่มนี้ในแนวทางที่ถูกต้องและเหมาะสมได้ไม่ยาก และไม่ตีความตามกระแสสังคมว่า ลูกของตนเป็นเด็กที่ เอาแต่ใจ เลี้ยงยาก โมโหร้าย เลวร้ายขึ้นไปกว่านั้น คือ การด่วนสรุปว่าลูกของเราเป็นโรคสมาธิสั้นหรือเปล่า  ฯลฯ

“เด็กอ่อนไหวง่าย” สังเกตได้อย่างไร ? 
เนื้อหาในเล่มคุณหมอ ได้ชี้แนะให้สังเกตพฤติกรรม อารมณ์ของเด็กๆ ตั้งแต่เด็กอ่อนจนเติบโตเป็นเด็กวัยรุ่น มีการยกตัวอย่างในแยกแยะให้เห็นว่าเป็น กลุ่มเด็กประเภทใด เช่น

  • กลุ่มเด็กเลี้ยงง่าย
  • กลุ่มเด็กเลี้ยงยาก
  • กลุ่มเด็กปรับตัวช้า หรือ เด็กอ่อนไหวง่าย
  • กลุ่มเด็กที่มีพื้นฐานทางอารมณ์แบบผสม

        อีกทั้ง  ยังยกงานวิจัยมาวิเคราะห์ให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นงานวิจัยของนายแพทย์โธมัส บอยซ์ กุมารแพทย์และจิตแพทย์ แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเปรียบเทียบเด็กๆ กับดอกไม้ ๒ ชนิด คือ

 ดอกแดนดิไลออน ( Dandelion)

 ดอกแดนดิไลออน ( Dandelion)
ซึ่งเป็นดอกไม้ในตระกูลกลุ่มดอกเดซี เมื่อถึงเวลากลีบดอกสีเหลืองร่วง
ก็จะเหลือแต่ดอกที่เป็นพุ่มสีขาวๆ คล้ายหัวสิงโต เมื่อต้องลมก็ถูกพัดปลิวไปโดยง่าย
และดอกกล้วยไม้ (Orchid)

คุณหมอตวงพร (ผู้เขียน)  ยังได้ยกตัวอย่างจากงานวิจัยของนายแพทย์โธมัส มาเปรียบเทียบให้เห็น ซึ่งเป็นการวิเคราะห์และทำการวิจัยพฤติกรรมเด็กๆ ตั้งแต่วัย ๔ เดือน จนถึงวัย ๑๑ ปี ว่ามีผลกระทบอย่างไรเมื่อเด็กเติบโตขึ้นมาทั้งในสภาพแวดล้อมของทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนให้เราได้พิจารณาและเห็นภาพงานวิจัยได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

นับเป็นงานวิจัยที่ใช้เวลา และมีคุณค่ามาก ในการที่คุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครองสามารถนำมาปรับใช้และทำความเข้าใจกับบุตรหลานของท่านได้เป็นอย่างดี และก็จะทำให้รู้ด้วยว่า ลูกของเราเป็นกลุ่มเด็กในประเภทดอกไม้ชนิดไหน ต้องดูแลอย่างไร เพื่อให้ดอกไม้ชนิดนั้นเติบโตขึ้นมาอย่างสวยงาม แข็งแกร่งและมั่นคงทางด้านอารมณ์และจิตใจ

นอกเหนือจากงานวิจัยที่น่าสนใจแล้ว เนื้อหาในเล่มยังครบถ้วนในเรื่องการเลี้ยงดูเด็กๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการแนะแนวทางในการพูดคุย การใช้คำพูด การเลือกบทสนทนากับลูกโดยที่ไม่ทำให้ลูกรู้สึกแย่ จึงขอยกตัวอย่างเนื้อหาในเล่มที่คุณหมอตวงพรได้ให้แนวทาง อาทิ

  • เด็กอ่อนไหวง่าย กับคุณลักษณะพิเศษ ๓ ด้าน
  • ๕ ภาษารักที่ตอบสนองความต้องการทางอารมณ์
  • เทคนิคการฟังอย่างลึกซึ้ง
  • ภาวะการณ์อารมณ์อ่อนไหวง่ายที่มาในภายหลัง
  • การเชื่อมโยงทางอารมณ์กับเด็กด้วยการแสดงความเข้าอกเข้าใจ
  • สี่เสาหลักในการเติบโตของเด็กกล้วยไม้

และบทอื่นๆ  อีกหลายตอน ที่จะทำให้ผู้อ่าน ได้เข้าใจความรู้สึก และพฤติกรรมการแสดงออกของเด็กๆ มากขึ้น และไม่เพียงเท่านั้น เราในฐานะผู้ใหญ่ยังได้ฝึกฝนตนเองในการรู้จักสังเกตุ วิเคราะห์และแยกแยะพฤติกรรมของเด็กๆ ฝึกความอดทนในการรับมือบนพื้นฐานของความเข้าใจเพื่อที่จะได้นำไปแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกของเด็กๆ ได้

เราอาจจะมองได้ว่า เด็กเปรียบเสมือนผ้าขาวฉันใด ผู้เลี้ยงดูควรเป็นผ้าขาวที่สะอาดยิ่งกว่าเพราะเราก็เคยเป็นเด็กมาก่อน เราย่อมรู้ดีว่าเมื่อวันหนึ่งข้างหน้า หากเด็กๆ อยากเป็นผ้าที่มีสีสันเติมแต่ง เราซึ่งเป็นคุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครองหรือผู้เลี้ยงดูพวกเขา  จะได้เลือกแต่งแต้มสีสันที่สวยงาม เพื่อให้ผ้าขาวที่ไร้การเติมแต่งกลายเป็นผืนผ้าสีสวยที่เต็มไปด้วยลวดลายสีสันงดงาม มีคุณภาพและทนทานต่อการใช้งานได้อย่างยาวนานตลอดไป

เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้  นับได้ว่ามีคุณภาพต่อการรับรู้และเข้าใจถึงสภาวะทางอารมณ์ของเด็กๆ แต่ละประเภทได้เป็นอย่างดี ทุกหน้ากระดาษมีสาระสำคัญที่อ่านแล้วนำไปปฏิบัติได้จริง

รูปเล่มสวยงาม ความหนา ๑๕๗ หน้า จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์เพชรประกาย เนื้อกระดาษดี อ่านสบายๆ อ่านแล้วอ่านซ้ำอีกได้เรื่อยๆ อยากแนะนำว่า  ถ้าคุณมีสถานะเป็นคุณพ่อ คุณแม่  คุณ “ต้องมี” หนังสือเล่มนี้ไว้เป็นคู่มือ ในการเลี้ยงลูก รวมถึงผู้ปกครอง หรือผู้เลี้ยงดูเด็กมืออาชีพ รับประกันว่าเกิดประโยชน์อย่างแน่นอน …

โอบกอดด้วยความเข้าใจ พัฒนาเด็กอ่อนไหวให้เติบโต | แนะนำหนังสือ

โอบกอดด้วยความเข้าใจ พัฒนาเด็กอ่อนไหวให้เติบโต | แนะนำหนังสือ

 

สามารถสั่งซื้อ   หนังสือ “โอบกอดด้วยความเข้าใจ พัฒนาเด็กอ่อนไหว ให้เติบโต” 
ได้ที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป หรือสั่งซื้อออนไลน์ ผ่าน แอพพลิเคชั่น



Cultures of Fermented 
by Scoby Doit
Previous Article