ประวัติศาสตร์จีน สมัยปลายราชวงศ์ชิง มักถูกเล่าด้วยจังหวะเร่งรีบ และเร่าร้อน เรื่องราวถูกบีบให้เหลือเพียงภาพ ของความโหดเหี้ยม ความเสื่อมถอย การคอร์รัปชัน และการล่มสลายของจักรวรรดิชิง ที่ดูเหมือนหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งในท่ามกลางเรื่องเล่าเหล่านั้น ชื่อของ “ซูสีไทเฮา” มักปรากฏขึ้นในฐานะ “ผู้ร้าย” ที่สะดวกและง่ายต่อการจดจำ เป็นสัญลักษณ์ของความล้าหลัง และเป็นคำอธิบายง่ายที่สุด สำหรับจุดจบของจักรวรรดิ… เรารู้จักเธอผ่านการเล่าขาน หรือผ่านภาพจำที่ถูกสร้างขึ้น และการบอกเล่าซ้ำๆ กัน ….
แต่มีเรื่องหนึ่ง ที่ไม่ค่อยถูกกล่าวถึงซูสีไทเฮา คือ ในช่วงปลายชีวิตของเธอ ช่วงเวลาที่เธอเริ่มสนับสนุนการปฏิรูปอย่างเป็นทางการ และมีการออกพระราชโองการ ที่เปลี่ยนโครงสร้างของรัฐ และยอมรับอย่างเงียบๆ ว่า “ระบบเดิมไม่อาจรับมือกับโลกใหม่ได้อีกต่อไป”
“การปฏิรูปช่วงปลายชีวิตของซูสีไทเฮา ” ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1901
Late Qing Reforms 1901
เรื่องนี้ไม่ใช่ตำนาน เรื่องเล่า ไม่ใช่ข่าวลือ และไม่ใช่การตีความย้อนหลัง หากเป็นข้อเท็จจริง ที่มีเอกสารราชการรองรับ แต่กลับถูกกล่าวถึงเพียงผิวเผิน หรือถูกลดความสำคัญลงอย่างน่าประหลาดใจ …..
บางที … เพราะมันไม่เข้ากับเรื่องเล่า ที่เราคุ้นเคย …
บางที … เพราะประวัติศาสตร์มักเลือกเล่าเรื่องของ “ผู้ชนะ” มากกว่า “ผู้ที่พยายาม แต่ไม่ทันเวลา”
บทความ การปฏิรูปช่วงปลายชีวิตของซูสีไทเฮา ต่อไปนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะฟื้นฟูภาพลักษณ์ของซูสีไทเฮา และไม่ได้พยายามเปลี่ยนเธอให้กลายเป็นนักปฏิรูปผู้ยิ่งใหญ่ หากแต่ตั้งใจจะชวนผู้อ่าน กลับไปมองช่วงเวลาสุดท้ายของจักรวรรดิ ด้วย “จังหวะที่ช้าลง” ด้วยมุมการมองที่ลึกขึ้น และรอบคอบกว่าเดิม ….
เพราะคำถามที่น่าสนใจอาจไม่ใช่…คำถาม เบๆ (เบสิคๆ) ที่ว่า ….
ซูสีไทเฮาทำให้จีนล่มสลายหรือไม่ …. ?
แต่คือ จักรวรรดิแบบใด ที่ทำให้การปฏิรูปเกิดขึ้นได้ช้าเช่นนั้น ….
และโลกแบบใด ที่ไม่เปิดโอกาสให้การเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปมีที่ยืน…
เมื่อเรามองการปฏิรูปช่วงปลายชีวิตของซูสีไทเฮา เราไม่ได้เห็นเพียงนโยบาย หรือพระราชโองการ แต่เราเห็นความตึงเครียด ระหว่างอดีตกับอนาคต ระหว่างอำนาจแบบดั้งเดิมกับโลกสมัยใหม่ และระหว่างความพยายามของมนุษย์กับแรงเฉื่อยของโครงสร้าง ….
นี่คือเรื่องราวของการตื่นรู้ ที่เกิดขึ้นในเวลาคับขัน
เรื่องราวของอำนาจที่พยายามปรับตัว โดยไม่ยอมสละตัวตนของตนเอง และเรื่องราวของจักรวรรดิ ที่เริ่มเปลี่ยน ในวันที่โลกตัดสินใจเดินต่อไปแล้ว…
ก่อนจะไปสู่เนื้อหาบทถัดไป ….
เราควรวาง “อคติ” ไว้ชั่วคราว และยอมรับว่า บางคำถามในประวัติศาสตร์ ไม่ได้มีไว้เพื่อหาคำตอบง่าย ๆ แต่มีไว้เพื่อเตือนว่า การเปลี่ยนแปลงที่มาช้าเกินไป อาจไม่ถูกจดจำในฐานะ “ความหวัง” … หากถูกจดจำเพียงว่า มัน “ไม่ทันการณ์” เสียแล้ว…..
![]()
แสงสุดท้ายของจักรวรรดิ
การปฏิรูปครั้งใหญ่ของซูสีไทเฮา (ค.ศ. 1901-1908)
หลังปี คศ. 1901 พระราชวังต้องห้าม ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป …. ความพ่ายแพ้จากเหตุการณ์กบฏนักมวย ทำให้จีนต้องลงนามในสนธิสัญญาที่เจ็บปวด เงินชดใช้มหาศาลไหลออกนอกประเทศ อำนาจต่างชาติแผ่เข้ามาอย่างเปิดเผย และภาพลวงตาของจักรวรรดิที่ “ยังควบคุมสถานการณ์ได้” พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง ….
ซูสีไทเฮาในช่วงเวลานี้ เธอไม่ใช่หญิงผู้มั่นใจ เหมือนเมื่อหลายสิบปีก่อน เธอคือหญิงชราวัย 66 ปี ที่อยู่ภายใต้ความกดดัน จากทั้งภายในและภายนอก ความเปลี่ยนแปลงที่เร็วขึ้น รวมถึงจักรวรรดิที่เธอพยายามรักษาไว้ กำลังส่งสัญญาณชัดเจนว่า ไม่อาจยืนอยู่กับที่ได้อีกแล้ว
การปฏิรูปที่เริ่มขึ้นหลังปี ค.ศ. 1901 ไม่ใช่เรื่องเล่าเชิงตำนาน หากเป็น ชุดนโยบายที่มีพระราชโองการเป็นลายลักษณ์อักษร มีหลักฐานและพิสูจน์ได้ มีเอกสารราชการรองรับอย่างชัดเจน นักประวัติศาสตร์เห็นตรงกันว่า นี่คือการเปลี่ยนทิศทางครั้งใหญ่ที่สุดของราชสำนักชิง ในรอบหลายศตวรรษ แม้จะเกิดขึ้นช้า และอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างรุนแรงก็ตาม
หนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญที่สุด ของการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน คือ การยกเลิกระบบสอบจอหงวน ระบบที่เป็นแกนกลางของรัฐจีนมานานกว่าพันปี การสอบที่วัดความสามารถผ่านการท่องจำคัมภีร์ขงจื๊อ เคยเป็นเครื่องมือสร้างขุนนาง และเป็นกลไกควบคุมความคิดของชนชั้นปกครอง แต่ในโลกที่ปืนใหญ่ เรือเหล็ก และระบบการศึกษาแบบตะวันตกกำลังครอบงำ ระบบนี้กลายเป็นภาระมากกว่าทรัพยากร ….

บางยุคยาวถึง 3 วัน 2 คืน
ในปี ค.ศ. 1905 พระราชโองการยกเลิกการสอบจอหงวนถูกประกาศอย่างเป็นทางการ นี่ไม่ใช่การปรับเพียงเล็กน้อย หากเป็นการตัดรากฐานของระบบเดิมโดยตรง และเป็นการยอมรับโดยพฤตินัยว่า โลกแบบเก่าที่ราชวงศ์ชิงยึดถือ ไม่สามารถแข่งขันกับโลกใหม่ได้อีกต่อไป ….
ควบคู่กันนั้น ราชสำนักก็เริ่มผลักดัน การศึกษาแบบสมัยใหม่ โรงเรียนใหม่ถูกจัดตั้งขึ้น หลักสูตรตะวันตกถูกนำมาใช้ และมีการส่งนักเรียนไปศึกษาต่อต่างประเทศ นี่ไม่ใช่แนวคิดใหม่เสียทีเดียว แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ ครั้งนี้มันเกิดขึ้นภายใต้การอนุมัติของซูสีไทเฮาเอง ผู้ซึ่งเคยสั่งยุติการปฏิรูปร้อยวัน เมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี่เอง….
นักประวัติศาสตร์ จำนวนมาก
ตั้งคำถามว่า อะไรทำให้เธอเปลี่ยนใจ ?
คำตอบที่พบในเอกสารร่วมสมัย ไม่ใช่เพราะความศรัทธาในอุดมการณ์ใหม่ หากเป็น การจำนนต่อความเป็นจริง ว่าจีน ไม่อาจปิดประเทศ และรักษาระบบเดิมไว้ได้อีกต่อไป หากไม่ปรับตัว จักรวรรดิจะไม่เหลือแม้แต่กรอบให้ปกป้อง….
การปฏิรูป ไม่ได้หยุดอยู่แค่การศึกษา ราชสำนักเริ่มพูดถึง การปรับโครงสร้างการปกครอง การตั้งสภาที่ปรึกษา การปรับระบบกระทรวง และแม้กระทั่งแนวคิดเรื่องรัฐธรรมนูญ โดยในปี ค.ศ. 1905 ซูสี ได้ส่งคณะผู้แทนเดินทางไปศึกษา ระบบรัฐธรรมนูญ ในญี่ปุ่นและยุโรป และในปี ค.ศ. 1908 ได้มีการ ประกาศแผนการ 9 ปี ที่จะนำไปสู่การจัดตั้ง สภาแห่งชาติ (National Assembly) และการใช้ ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ การกระทำนี้เป็นการยอมรับว่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กำลังจะหมดอายุลง
แม้ทั้งหมดจะยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น และถูกควบคุมอย่างเข้มงวดจากเบื้องบน แต่การที่คำเหล่านี้ถูกเขียนลงในเอกสารราชการ ถือเป็นสิ่งที่ไม่อาจจินตนาการได้ว่า จะเกิดขึ้นได้ ในยุคก่อนหน้านี้ ….
การกระทำนี้ ไม่ได้ทำให้ ซูสีไทเฮา กลายเป็นนักปฏิรูปในความหมายแบบสมัยใหม่ ทว่า.. เธอไม่เคยตั้งใจสละอำนาจ หรือเปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีเสียงอย่างแท้จริง การปฏิรูปของเธอ มีขอบเขตชัดเจน และอยู่ภายใต้เงื่อนไขเดียวเสมอ คือ จะต้องไม่ทำลายศูนย์กลางอำนาจของราชสำนักฯ
แต่ในอีกมุมหนึ่ง เอกสารหลายฉบับชี้ว่า เธอเข้าใจดีว่า อำนาจที่ไม่ปรับตัวจะถูกบังคับให้สลาย การปฏิรูปช่วงปลายชีวิตของซูสีไทเฮา จึงเป็นความพยายาม เพื่อ “ประคองจักรวรรดิ” มากกว่า การสร้างจักรวรรดิใหม่ กล่าวคือ เป็นการยืดเวลา ไม่ใช่การปฏิวัติ ….
เมื่อซูสีไทเฮา สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1908 การปฏิรูปเหล่านี้ ยังไม่ทันหยั่งรากลึก ระบบใหม่ยังเปราะบาง และราชวงศ์ชิงยังเต็มไปด้วยแรงกระแทกจากทั้งฝ่ายอนุรักษนิยมและฝ่ายปฏิวัติ เพียงไม่กี่ปีต่อมา จักรวรรดิก็ล่มสลายลงอย่างที่หลายคนคาดไว้แล้ว
คำถามที่เหลืออยู่ จึงไม่ใช่ว่า ซูสีไทเฮาปฏิรูปหรือไม่ เพราะเอกสารพิสูจน์แล้วว่าเธอทำ
แต่คือคำถามที่หนักกว่านั้น …คือ
ถ้าเธอเริ่มเร็วกว่านี้ จักรวรรดิจะมีโอกาสรอดหรือไม่ …?
หรือบางที การปฏิรูปใดๆ ภายใต้ระบบเดิม อาจไม่เพียงพอจะเปลี่ยนชะตากรรมที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ….
ทำไม การปฏิรูปช่วงปลายชีวิตของซูสีไทเฮา จึงไม่ทันการณ์
เมื่อมองย้อนกลับไป การปฏิรูปช่วงปลายชีวิตของซูสีไทเฮาดูเหมือนการตื่นขึ้นในเวลาที่สายเกินไป ไม่ใช่เพราะนโยบายทั้งหมดผิดพลาด แต่เพราะโลกที่จีนกำลังเผชิญหน้า ไม่ได้รอให้จักรวรรดิเรียนรู้ด้วยความเร็วของตนเองอีกต่อไป
- ปัญหาแรกของการปฏิรูปคือ “เวลา”
ซูสีไทเฮาเริ่มขยับอย่างจริงจังหลังปี ค.ศ. 1901 ขณะที่จักรวรรดินิยมตะวันตกได้เข้ามาปักหลักในจีนมานานแล้ว การค้า การทูต และกำลังทหารของมหาอำนาจไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่เป็นแรงกดดันที่สะสมมาหลายทศวรรษ การปฏิรูปในช่วงนี้ จึงไม่ใช่การ “เตรียมตัวสู่อนาคต” หากเป็นการ “พยายามตามให้ทันอดีต”
เช่น ในเวลาที่ราชสำนักชิง เพิ่งเริ่มยกเลิกระบบสอบจอหงวน (ค.ศ. 1905) ญี่ปุ่นก็ได้สร้างรัฐสมัยใหม่ ที่มีเสถียรภาพ ขยายอำนาจในภูมิภาค สำเร็จไปแล้ว…. ในเวลาที่จีนเริ่มตั้งโรงเรียนแบบใหม่ ประเทศตะวันตกได้ขยายอำนาจผ่านอุตสาหกรรมและการทหารอย่างเต็มรูปแบบ ช่องว่างระหว่างจีนกับโลกภายนอกไม่ใช่ช่องเล็กๆ ที่จะก้าวข้ามได้ด้วยการปรับนโยบายบางประการ ….
- ปัญหาที่สอง คือ โครงสร้างอำนาจที่ไม่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลง
การปฏิรูปของซูสีไทเฮา ถูกออกแบบจากเบื้องบน และถูกควบคุมอย่างเข้มงวด การเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ต้องไม่แตะต้องศูนย์กลางอำนาจของราชสำนักฯ นั่นหมายความว่า การปฏิรูปถูกจำกัดขอบเขตตั้งแต่แรกเริ่ม- ระบบราชการเดิมยังคงอยู่
- ขุนนางรุ่นเก่าจำนวนมากยังคงมีอำนาจ
- และการตัดสินใจสำคัญยังผูกติดกับกลุ่มเล็กๆ ในวัง
การเปลี่ยนแปลงเชิงสถาบัน จึงเกิดขึ้นอย่างเชื่องช้า และมักถูกต่อต้านอย่างเงียบๆ จากภายในเอง ขณะที่ฝ่ายอนุรักษนิยมมองว่าการปฏิรูปเป็นภัย ฝ่ายที่ต้องการเปลี่ยนแปลงจริงกลับมองว่ามันไม่เพียงพอ….
- ปัญหาที่สาม คือ ความไม่ไว้วางใจระหว่างผู้ปกครองกับสังคม
หลังการปราบการปฏิรูปร้อยวันในปี ค.ศ.1898 ราชสำนักชิง ได้ทำลายความเชื่อมั่นของกลุ่มปัญญาชน และนักปฏิรูปไปแล้ว เมื่อซูสีไทเฮา หันกลับมาพูดถึงการปฏิรูปอีกครั้ง หลายคนไม่เชื่อว่ามันจะยั่งยืน…- การปฏิรูปจึงขาด “การยอมรับทางสังคม”
- ถูกมองว่า เป็นนโยบายของรัฐ ไม่ใช่ขบวนการของสังคม
- และเมื่อไม่มีใครรู้สึกว่าตนเองเป็นเจ้าของการเปลี่ยนแปลง การปฏิรูปก็กลายเป็นเพียงคำสั่งที่รอวันถูกยกเลิก
- ปัญหาที่สี่ คือ แรงกดดันจากภายนอกที่รุนแรงเกินไป
หลังเหตุการณ์กบฏนักมวย จีนไม่ได้แค่เผชิญคำวิจารณ์ แต่ต้องเผชิญการแทรกแซงโดยตรง สนธิสัญญา การชดใช้ค่าเสียหาย และการประจำกำลังทหารต่างชาติ ทำให้พื้นที่ในการตัดสินใจของราชสำนักแคบลงอย่างมาก
แม้จะมีนโยบายปฏิรูป แต่รัฐไม่มีทรัพยากรเพียงพอ ที่จะผลักดันมันอย่างจริงจัง เงินภาษีจำนวนมากต้องถูกนำไปใช้ชำระหนี้สงคราม แทนที่จะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน หรือการศึกษา การปฏิรูปจึงเกิดขึ้นท่ามกลางสภาวะขาดแคลนกำลังทรัพย์ และถูกจำกัดตั้งแต่ต้นทาง
- ปัญหาสุดท้าย คือ ตัวเธอเอง…เป้าประสงค์ของเธอคือ “ประคอง” ไม่ใช่ “เปลี่ยนผ่าน”
ซูสีไทเฮาไม่ได้ตั้งใจจะเปลี่ยนระบบการปกครองโดยพื้นฐาน เธอไม่ได้มองว่าราชวงศ์ ควรหลีกทางให้รูปแบบใหม่ หากมองว่าระบบเดิมยังสามารถปรับตัวได้ การปฏิรูปของเธอ จึงมีเป้าหมายเพื่อ ยืดอายุจักรวรรดิ ไม่ใช่สร้างรัฐใหม่ …
แต่โลกในต้นศตวรรษที่ 20 ไม่ได้เปิดพื้นที่ให้จักรวรรดิแบบเก่าค่อยๆ ปรับตัวอีกแล้ว ระบอบที่ไม่สามารถสร้างความชอบธรรมใหม่ให้กับตนเอง มักถูกแทนที่อย่างรวดเร็ว และในกรณีของราชวงศ์ชิง เวลาที่เหลืออยู่มีน้อยเกินไป
เมื่อซูสีไทเฮาสิ้นพระชนม์ การปฏิรูปที่ยังไม่ทันได้ฝังราก และอำนาจก็ตกอยู่ในมือของ เจ้าชายไจ้เฟิง (บิดาของปูยี) ผู้สำเร็จราชการที่ไม่เด็ดขาด และไม่เป็นที่ยอมรับ การปฏิรูปจึงเริ่มสะดุด และความโกรธแค้นของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากความวุ่นวายก็ถึงจุดเดือด

การปฏิวัติซินไฮ่ ก็เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1911
มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะ จีนไม่ปฏิรูป แต่เกิดขึ้น เพราะจีนปฏิรูป ?!
การปฏิรูปของซูสีไทเฮา ไม่ได้ล้มเหลวเพราะขาดความพยายาม หากแต่ล้มเหลวเพราะมันเริ่มต้นในโลกที่เปลี่ยนไปไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับ และดำเนินไปภายใต้โครงสร้างที่ไม่เปิดโอกาสให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างแท้จริง …
นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของบุคคลหนึ่ง หากเป็น “บทเรียนของจักรวรรดิทั้งระบบ ….”
ที่ว่า บางครั้ง การตื่นรู้ที่ช้าไปเพียงเล็กน้อย อาจหมายถึงการไม่มีโอกาสแก้ตัวอีกเลย
ญี่ปุ่นสร้างรัฐใหม่อย่างไร
ญี่ปุ่นไม่ได้เข้าสู่ความทันสมัย เพราะตะวันตกใจดี แต่เพราะญี่ปุ่นยอมรับความจริงอย่างรวดเร็วว่า ถ้าไม่เปลี่ยนทั้งระบบ ประเทศจะถูกกลืน …. ในส่วนนี้ แอดมินจะเล่าถึงการปฎิรูปของญี่ปุ่นแต่เพียงคร่าวๆ เพื่อให้เห็นภาพ นะครับ เพื่อใม่ให้บทความนี้ ยาวจนเกินไป
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในกลางศตวรรษที่ 19
ปี ค.ศ. 1853 เมื่อเรือดำของสหรัฐอเมริกาแล่นเข้ามาในอ่าวเอโดะ …. ญี่ปุ่นก็ตระหนักได้ในทันที ว่า ระเบียบโลกแบบเดิมของตนเอง ไม่มีทางต้านทานอาวุธ เทคโนโลยี และเศรษฐกิจแบบตะวันตกได้ …
ในสถานการณ์คล้ายกัน สิ่งที่ญี่ปุ่นทำ แตกต่างจากจีนตั้งแต่ “คำถามแรก”
- จีนถามว่า จะรักษาระบบเดิมไว้ได้อย่างไร ?
- ญี่ปุ่นถามว่า ระบบเดิมยังควรมีอยู่หรือไม่
คำถามนี้ นำไปสู่การตัดสินใจที่สำคัญ และรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
คือ การล้มระบอบโชกุน และคืนอำนาจให้จักรพรรดิในนาม
เหตุการณ์นี้ แอดมิน เชื่อว่า คุณก็น่าจะรู้จัก นั่นคือ การปฏิรูปเมจิ (Meiji Restoration)
การปฏิรูปเมจิ (Meiji Restoration)
เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการใน ปี ค.ศ. 1868 (พ.ศ. 2411)
ปีนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ ….
- การล้มระบอบโชกุนโทคุงาวะ
- การคืนอำนาจการปกครอง “ในนาม” ให้จักรพรรดิเมจิ
- และการเริ่มต้นสร้าง รัฐชาติสมัยใหม่ของญี่ปุ่น
การปฏิรูปเมจิ นี้ ไม่ใช่เหตุการณ์วันเดียวจบ นะครับ แต่เป็นกระบวนการต่อเนื่องราว ทศวรรษ 1860s–1880s
ที่ค่อยๆ ปรับรื้อโครงสร้างเก่า และสร้างรัฐใหม่ขึ้นมาทีละชั้น เป็นขั้นเป็นตอน ….
เรามาดู ไทม์ไลน์คู่ขนาน ระหว่าง…
ญี่ปุ่นสร้างรัฐใหม่ — จีนพยายามประคองจักรวรรดิ
📅 ค.ศ. 1853
- ญี่ปุ่น – เรือดำ (Black Ships) ของเพอร์รี่ มาถึงอ่าวเอโดะ ญี่ปุ่นรับรู้ทันทีว่า โลกภายนอกเหนือกว่าตน อย่างเป็นรูปธรรม นี่คือ อาการ “ช็อก” ที่ทำให้ชนชั้นนำ เริ่มถกเถียงกันว่า ระบอบเดิมควรอยู่ต่อหรือไม่ ?
- จีน – จีนเผชิญมหาอำนาจตะวันตกมาก่อนหน้านี้แล้ว คือ สงครามฝิ่น 2 ครั้ง (ค.ศ. 1839–1842)
แต่ราชสำนักยังมองว่านี่คือ “ปัญหาชายขอบ” ไม่ใช่วิกฤตโครงสร้างของรัฐ
📅 ค.ศ. 1868
- ญี่ปุ่น – การปฏิรูปเมจิเริ่มต้น โชกุนถูกโค่น จักรพรรดิถูกยกขึ้นเป็นศูนย์รวมอำนาจของรัฐใหม่ ญี่ปุ่นเลือก “รื้อระบบเดิม” แทนการซ่อม
- จีน – ราชวงศ์ชิงยังคงระบบจักรวรรดิเดิม *ซูสีไทเฮายังไม่ก้าวขึ้นสู่อำนาจสูงสุด แนวคิดเรื่องรัฐสมัยใหม่ยังเป็นเรื่องไกลตัว
📅 ค.ศ. 1870s
- ญี่ปุ่น – ยกเลิกระบบศักดินา ตัดสิทธิพิเศษซามูไร สร้างระบบราชการ การศึกษา และกองทัพแห่งชาติ รัฐใหม่เริ่มทำงานจริง
- จีน – เริ่ม “ขบวนการเสริมสร้างความเข้มแข็งตนเอง” นำเทคโนโลยีตะวันตกมาใช้บางส่วน แต่ไม่แตะโครงสร้างอำนาจหลักยังเชื่อว่าสามารถใช้ของใหม่ โดยไม่เปลี่ยนระบบเก่า ได้… จีนเชื่อว่า “จีนไม่ได้อ่อนแอ เพราะวัฒนธรรม แต่แพ้เพราะอาวุธ” สรุปคือ จีนรับ “ของ” แต่ไม่รับ “ระบบ”
📅 ค.ศ. 1894–1895
- ญี่ปุ่น – ชนะสงครามจีน–ญี่ปุ่น พิสูจน์ว่ารัฐใหม่ทำงานได้จริง ญี่ปุ่นกลายเป็นมหาอำนาจในเอเชีย
- จีน – พ่ายแพ้อย่างย่อยยับ นี่คือสัญญาณชัดเจนว่าจักรวรรดิกำลังล้มเหลว ซูสีไทเฮาอยู่ในจุดสูงสุดของอำนาจ และระบบเริ่มสั่นคลอน
📅 ค.ศ. 1898
- ญี่ปุ่น – รัฐสมัยใหม่เข้าที่แล้ว การเมือง เศรษฐกิจ กองทัพ เดินไปในทิศเดียวกัน
- จีน – การปฏิรูปร้อยวัน พยายามเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งด่วน แต่ถูกซูสีไทเฮายุติลง นี่คือจุดที่ความไม่ไว้วางใจระหว่างรัฐกับนักปฏิรูปแตกหัก
📅 ค.ศ. 1901–1908
- ญี่ปุ่น – ขยายอำนาจในภูมิภาค รัฐมีเสถียรภาพ และมั่นใจในตนเอง
- จีน – ซูสีไทเฮาเริ่มตระหนักแล้ว และลงมือปฏิรูปอย่างเป็นทางการ ยกเลิกสอบจอหงวน ตั้งโรงเรียนสมัยใหม่ มีการพูดถึงรัฐธรรมนูญ แต่ทั้งหมดเกิดขึ้นในจักรวรรดิที่ใกล้หมดแรงเสียแล้ว
📅 ค.ศ. 1908
- ญี่ปุ่น – รัฐใหม่ยืนได้ด้วยตนเองแล้ว
- จีน – ซูสีไทเฮาสิ้นพระชนม์ การปฏิรูปยังไม่ทันฝังราก ศูนย์กลางอำนาจอ่อนแอ
📅 ค.ศ. 1911
- ญี่ปุ่น – ยังคงขยายบทบาทในเวทีโลก อย่างต่อเนื่อง
- จีน – เกิดการปฏิวัติซินไฮ่ ราชวงศ์ชิงล่มสลาย จักรวรรดิสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ
ความเหลื่อมที่แท้จริง
เมื่อจีนเริ่มปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง ….
ญี่ปุ่นได้สร้างรัฐใหม่เสร็จไปแล้วเกือบ สี่ทศวรรษ
ความต่างไม่ใช่แค่ “ช้าหรือเร็ว”
แต่คือ ญี่ปุ่นยอมรื้อระบบเดิมตั้งแต่ต้น ในขณะที่ จีนพยายามรักษาระบบเดิมไว้จนเกือบถึงวินาทีสุดท้าย
นี่คือเหตุผล ที่การปฏิรูปของซูสีไทเฮา ที่แม้จะมีเอกสาร มี (พอจะมี) ความจริงใจ และมีความจำเป็น (แน่นอน) ….
แต่ก็ไม่อาจแข่งขันกับโลก และกับญี่ปุ่นที่ก้าวไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ….

เรียบเรียงโดย : Admin Bee by Misc.today
แหล่งข้อมูลอ้างอิง ในการเขียนบทความ
- Late Qing reforms, Wikipedia — https://en.wikipedia.org/wiki/Late_Qing_reforms วิกิพีเดีย
- Hundred Days’ Reform, Wikipedia — https://en.wikipedia.org/wiki/Hundred_Days%27_Reform วิกิพีเดีย
- Self-Strengthening Movement, Wikipedia — https://en.wikipedia.org/wiki/Self-Strengthening_Movement วิกิพีเดีย
- Late Qing Dynasty Reforms: A Last Attempt to Modernize, BA Notes — https://banotes.org/history-of-china-c-1840-1978/late-qing-dynasty-reforms-attempt-modernize/ BA (Bachelor of Arts) Hub
- Chinese Revolution Timeline to 1911, Alpha History — https://th.alphahistory.com/chineserevolution/chinese-revolution-timeline-to-1911/ Alpha History
จากหนังสือ ทางวิชาการ ภาษาอังกฤษ (Academic Books)
- The Rise of Modern China โดย Hsu, Immanuel C.Y.
- The Search for Modern China โดย Spence, Jonathan D.
- Manchus and Han: Ethnic Relations and Political Power in Late Qing and Early Republican China, 1861-1928 โดย Rhoads, Edward J.M.
- Dragon Lady: The Life and Legend of the Last Empress of China โดย Seagrave, Sterling
บางทีคุณอาจจะสนใจเรื่องนี้ ( บทความแนะนำ โดย Misc.today )
ชายผู้ยิ่งใหญ่ ไม่กล้าเข้า พระราชวังต้องห้าม ( พระราชวังกู้กง )



