หากคุณได้มีโอกาสเดินผ่าน พระราชวังต้องห้าม (Forbidden City) ในวันที่ไร้ผู้คน สิ่งที่หลงเหลืออยู่ไม่ใช่เสียงอำนาจ หากคือ ร่องรอยของหลายๆ ชีวิตที่เคยถูกกักไว้ภายในกำแพงสูงแห่งนี้ …. ผู้คนหลายพันเคยอยู่ที่นี่ มีทั้ง ความรัก คามกลัว และความทะเยอทะยาน และบางคนก็หายไปโดยไม่ทิ้งชื่อเอาไว้ …. แต่มีสตรีเพียงคนเดียว ที่ร่องรอยของเธอ ยังคงสะท้อนอยู่ในทุกระเบียง ทุกห้อง และทุกความเงียบของวังแห่งนี้ เธอคือ “ซูสีไทเฮา”
ชื่อของเธอมักถูกเล่า ในฐานะหญิงผู้กุมอำนาจแห่งราชวงศ์ชิง ผู้ครองบัลลังก์จากหลังม่าน และเป็นสัญลักษณ์ของการเมืองที่ซับซ้อน ในช่วงปลายจักรวรรดิจีน แต่เรื่องราวของซูสีไทเฮา ไม่ได้เริ่มต้นจากอำนาจ และไม่ได้ดำเนินไปด้วยคำสั่งเพียงอย่างเดียว มันเริ่มจากชีวิตของหญิงสาวในฝ่ายใน จากระเบียบที่เข้มงวด จากสายตาที่ต้องระวัง และจากโลกที่ผู้หญิงถูกกำหนดให้เงียบ หากเธอเลือกที่จะไม่เงียบ… นี่คือจุดเริ่มต้นในเส้นทางของเธอ…
บทความนี้ จะไม่พาคุณอ่าน เรื่องราว ซูสีไทเฮา ผ่านปีศักราชหรือชัยชนะทางการเมืองเท่านั้น หากจะพาเข้าไปใกล้ชีวิตในวังที่หล่อหลอมเธอขึ้นมา โลกของสนม ขันที ข่าวลือ ความกลัว และความไม่ไว้วางใจ ความหวาดระแวง
เมื่อคุณก้าวเข้าสู่บทความนี้ ลองลืมภาพจำเดิมของซูสีไทเฮาไว้ชั่วคราวก่อนครับ และฟังเสียงที่ไม่เคยถูกบันทึกไว้ในพงศาวดาร เสียงของชีวิตฝ่ายใน เสียงของความกลัวที่ไม่ถูกพูด และเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่รู้ดีว่า หากเธอไม่ควบคุมชะตาของตนเอง ก็จะไม่มีใครทำแทนเธอได้ …
จากจุดนี้ เรื่องราว ซูสีไทเฮา จะค่อยๆ เปิดเผย ไม่ใช่ในฐานะตำนาน แต่ในฐานะชีวิตที่เคยมีลมหายใจอยู่หลังม่านอำนาจของจักรวรรดิ.
ซูสีไทเฮา สตรีผู้กุมชะตาจักรวรรดิจีน 47 ปี (ค.ศ. 1861-1908)
หากย้อนเวลากลับไปยังปลายศตวรรษที่ 19 และมองเข้าไปในพระราชวังต้องห้าม สิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่ภาพจักรพรรดิผู้ทรงอำนาจอย่างที่ตำราเคยเล่า แต่คือระบบราชสำนัก ที่ซับซ้อน อ่อนล้า และเต็มไปด้วยความหวาดระแวง การเมืองภายในวัง ในช่วงเวลานั้น ไม่ต่างจากเขาวงกต ที่หากว่าใครผิดพลาดเพียงก้าวเดียว ก็อาจหมายถึงจุดจบ และในใจกลางของเขาวงกตนั้น มีสตรีคนหนึ่งนั่งอยู่หลังม่าน ….
จุดเริ่มต้น จากนางสนม สู่ พระชนนีพันปีหลวง
สตรีที่ชื่อว่า เย่เฮ่อน่าลา ซูสี ถือกำเนิดในปี ค.ศ. 1835 เธอเข้ารับการคัดเลือกเป็น นางสนมของจักรพรรดิเสียนเฟิง ในปี ค.ศ. 1852 ด้วยวัยเพียง 17 ปี และได้รับตำแหน่งเป็น “กุ้ยเหริน” (貴人) หรือสนมชั้นสูงในลำดับต้น ๆ
ซูสีไทเฮา ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นผู้ปกครอง เธอไม่ได้รับการศึกษาเพื่อเตรียมตัวขึ้นสู่อำนาจ และไม่ได้มีตระกูลใหญ่หนุนหลังที่แข็งแรงพอ จะทำให้ใครเกรงใจ ชื่อของเธอในวัยเยาว์ไม่ได้ถูกจดจำ …ในวัยสาว เธอถูกคัดเลือกเข้าเป็นสนมในราชสำนักชิง ตำแหน่งเริ่มต้นของเธอ… ต่ำมาก ต่ำจนแทบไม่มีใครจำชื่อได้ ในวังต้องห้าม สนมนับพันคนอาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ทุกคนสวย ทุกคนหวังจะได้เห็นหน้าฮ่องเต้ และเกือบทุกคนจะใช้ชีวิตไปอย่างเงียบงัน จนแก่ตายโดยไม่เคยมีบทบาทใดๆ เลย…. ซูสีไทเฮา ก็ควรจะเป็นหนึ่งในนั้น แต่เธอไม่ใช่ …
อำนาจเริ่มต้นจาก “การเป็นแม่”
7 ปี นับจากวันที่เธอเข้าวังเพื่อถวายตัว …. ในปี ค.ศ. 1856 เธอให้กำเนิด เจ้าชายไจ่ฉุน ซึ่งเป็นพระโอรสเพียงองค์เดียวของจักรพรรดิเสียนเฟิง ที่รอดชีวิตมาจนเติบโต (เด็กคนนั้นต่อมากลายเป็นจักรพรรดิถงจื้อ ) ตำแหน่งของเธอ จึงพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากกุ้ยเหรินสู่ตำแหน่ง “อี้กุ้ยเฟย” (懿貴妃) และกลายเป็นสตรีที่ทรงอิทธิพลลำดับรองจากจักรพรรดินีเอกคือ จักรพรรดินีฉืออัน (ซูอันไทเฮา) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ซูอัน
เมื่อจักรพรรดิเสียนเฟิงสวรรคตในปี ค.ศ. 1861 ขณะที่ประเทศจีนกำลังเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้ต่อชาติตะวันตก เจ้าชายไจ่ฉุน พระโอรสของซูสีขึ้นครองราชย์เป็น จักรพรรดิถงจื้อ ด้วยวัยเพียง 5 ขวบ
หลังการสวรรคตของจักรพรรดิ ความเงียบในวังทวีความตึงเครียดมากขึ้น …. ฝ่ายในเต็มไปด้วย ข่าวลือ เสียงกระซิบ และความหวาดระแวง …. ซูสีไทเฮา ในฐานะพระพันปีหลวง ไม่ได้มีอำนาจอย่างที่ใครจินตนาการ เธออยู่ท่ามกลางการสายตา และการจับจ้อง ของขุนนางที่มองเธอด้วย “ความไม่ไว้วางใจ” ด้วย ระบบราชสำนักที่ออกแบบมาให้ผู้หญิงอยู่เบื้องหลัง และจักรวรรดิที่กำลังถูกบีบจากโลกภายนอก …..
ก่อนสวรรคต จักรพรรดิเสียนเฟิง ได้แต่งตั้ง คณะผู้สำเร็จราชการ 8 ท่าน เป็นผู้ดูแลการปกครองแทน…. แต่ซูสี (ในฐานะพระมารดาของกษัตริย์) และซูอัน (ในฐานะจักรพรรดินีเอก) ไม่พอใจต่อการกีดกันอำนาจนี้ ทั้งสองจึงร่วมมือกับเจ้าชายกง (พระอนุชาของจักรพรรดิเสียนเฟิง) วางแผน “การรัฐประหารซินโหย่ว”
ในปีเดียวกันนั้น สองไทเฮา สามารถกำจัดคณะผู้สำเร็จราชการลงได้ทั้งหมด !!!
ผลของการรัฐประหารครั้งนี้ คือ การที่ ซูอันไทเฮา และ ซูสีไทเฮา ก้าวขึ้นมาเป็น ผู้สำเร็จราชการร่วม อย่างเป็นทางการ โดยมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการในภาษาจีนว่า “เหลียงกงฉุยเหลียน” (兩宮垂簾) หรือ “สองพระราชวังสำเร็จราชการ” ซึ่งเป็นการแบ่งอำนาจที่ซับซ้อน แต่โดยแท้จริงแล้ว ด้วยความฉลาดเฉลียวและเด็ดขาด ซูสีไทเฮา ได้ค่อยๆ กลายเป็นผู้กุมบังเหียนอำนาจที่แท้จริง … เหนือกว่า ซูอันไทเฮา
การปฏิรูป และยุคแห่ง “การฟื้นฟูถงจื้อ”
หลายคนอาจมองว่าซูสีไทเฮา เป็นเพียงผู้หญิงที่มุ่งแต่จะสะสมอำนาจ แต่ในความเป็นจริง เธอเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์ในหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงแรกของการสำเร็จราชการ ในยุคของจักรพรรดิถงจื้อ (ค.ศ. 1862 – 1874) ซึ่งเรียกว่า “การฟื้นฟูถงจื้อ” (Tongzhi Restoration) ซูสีไทเฮา ได้ให้การสนับสนุน ขุนนางหัวก้าวหน้า เช่น เจิงกั๋วฟาน, หลี่หงจาง, และจั่วจงถัง ในการดำเนิน “การปฏิรูปตนเอง” (Self-Strengthening Movement)
การปฏิรูปตนเองที่ซูสีสนับสนุนนั้น มุ่งเน้นไปที่
- การทหาร มีการจัดตั้งกองทัพสมัยใหม่, การสร้างอู่ต่อเรือ และโรงงานผลิตอาวุธตามแบบตะวันตก
- การศึกษา มีการส่งนักเรียนไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ (โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและยุโรป) เป็นครั้งแรก
- การอุตสาหกรรม การสร้างโทรเลข, ทางรถไฟ, และโรงงานอุตสาหกรรมสมัยใหม่
ซูสีไทเฮา เธอตระหนักดีว่า ถ้าจีนไม่เรียนรู้ที่จะแข็งแกร่งด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ จีนจะถูกชาติตะวันตกฉีกทึ้งเป็นชิ้นๆ แต่การปฏิรูปของเธอต้องเผชิญกับ การต่อต้านจากขุนนางอนุรักษ์นิยม ในราชสำนัก ที่ยึดมั่นในวิถีแบบโบราณอย่างเหนียวแน่น
จุดจบของถงจื้อ และการขึ้นครองราชย์ของกวางซวี่
การเปลี่ยนผ่านอำนาจจากจักรพรรดิถงจื้อ ไปยังจักรพรรดิกวางซวี่ในปี ค.ศ. 1875 ถือเป็นเหตุการณ์ที่ พลิกผันทางการเมือง จุดสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง และเป็นรากฐานที่ทำให้ซูสีไทเฮาสามารถกุมอำนาจต่อไปได้อีกหลายทศวรรษ
ในปี ค.ศ. 1873 จักรพรรดิถงจื้อ ขณะมีพระชนมายุ 17 ชันษา ทรงบรรลุนิติภาวะ และซูสีไทเฮาพร้อมกับซูอันไทเฮาควรจะต้อง “คืนอำนาจ” และยุติการสำเร็จราชการตามกฎหมาย (การว่าราชการหลังม่าน) อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจักรพรรดิถงจื้อจะเริ่มว่าราชการด้วยพระองค์เองได้บ้าง แต่ความเป็นจริงแล้ว คือ ซูสีไทเฮาก็ยังคงอยู่เบื้องหลัง และมีอิทธิพลอย่างมากในการตัดสินใจทุกอย่าง ….
ปัญหาที่แท้จริงเริ่มต้นขึ้น เมื่อจักรพรรดิถงจื้อ ไม่พอพระทัยต่ออำนาจของพระมารดา (ผู้สำเร็จราชการ) และทรงเลือกที่จะ ให้ความโปรดปราน ต่อฮองเฮาของพระองค์ (จักรพรรดินีอาลู่เท่อ) ซึ่งเป็นสตรีที่มาจากตระกูล ที่เป็นปรปักษ์กับซูสีไทเฮา ทำให้เกิดความตึงเครียดภายในฝ่ายในอย่างหนัก …
การว่าราชการหลังม่านในชีวิตจริง ไม่ได้โรแมนติก มันคือการนั่งฟังรายงานยาวเหยียดในห้องที่อากาศอับ การตัดสินใจเรื่องชีวิตผู้คนผ่านเอกสารที่เรียงซ้อนกันเป็นตั้ง และการรักษาท่าทีสงบนิ่งแม้ในวันที่ข่าวร้ายถาโถมเข้ามาไม่หยุด เธอไม่อาจแสดงความลังเล เพราะความลังเลในวัง คือสัญญาณของความอ่อนแอ
โศกนาฏกรรมของจักรพรรดิถงจื้อ …
และการฝ่าฝืนกฎมณเฑียรบาลครั้งใหญ่
ในเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 1875 จักรพรรดิถงจื้อ สวรรคตอย่างกะทันหันด้วยวัยเพียง 18 ปี
สาเหตุการสวรรคตนั้น เป็นที่ถกเถียง และถูกปกปิดมาโดยตลอด แม้จะมีการประกาศว่า พระองค์สวรรคตด้วยโรคฝีดาษ แต่ก็มีข่าวลือในราชสำนักว่าอาจสวรรคตด้วยโรคซิฟิลิส หรือแม้กระทั่ง ถูกลอบปลงพระชนม์เพราะความขัดแย้งกับซูสีไทเฮา ??!!
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า การสวรรคต คือ การที่จักรพรรดิถงจื้อ ไม่มีทายาทสืบราชสมบัติ นี่คือช่องโหว่ทางกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ซูสีไทเฮาใช้เป็นเครื่องมือในการรักษาอำนาจ
ตามกฎมณเฑียรบาลของราชวงศ์ชิง เมื่อกษัตริย์สวรรคต โดยไม่มีทายาท ผู้สืบราชสมบัติคนต่อไป จะต้องเป็นผู้ที่มี ลำดับอาวุโสที่ต่ำกว่า กษัตริย์องค์ก่อน (เช่น เป็นหลานหรือเหลน) เพื่อให้สามารถสืบราชสมบัติ และทำพิธีเคารพบูชาจักรพรรดิองค์ก่อนในฐานะ “บิดาบุญธรรม” ได้ ….แต่ ซูสีไทเฮา ตัดสินใจที่ พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ด้วยการประกาศว่า ไจ้เถียน (จักรพรรดิกวางซวี่) ซึ่งเป็น หลานชายแท้ๆ ของเธอ (เป็นลูกของน้องสาว) จะขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป ?!
การเลือกไจ้เถียน (กวางซวี่) วัย 4 ขวบ ในขณะนั้น …. ทำให้ซูสีไทเฮา คงอยู่ในสถานะ “พระมารดาของจักรพรรดิ” ได้อีกครั้งโดยสมบูรณ์ และสามารถ สำเร็จราชการร่วม กับซูอันไทเฮาได้ต่อไปอย่างชอบธรรม ( ตามความเป็นจริง คือเพื่อยืดอายุอำนาจของตนเอง)
การกระทำนี้ เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ในแวดวงขุนนาง ที่ยึดมั่นในกฎเกณฑ์ แต่ด้วยความเด็ดขาดของซูสีไทเฮา และอำนาจที่เธอมี ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าต่อต้านอย่างเปิดเผย นี่จึงเป็นเหตุการณ์ที่ ตอกย้ำอำนาจเบ็ดเสร็จ ของซูสีไทเฮา และทำให้เธอสามารถกำหนดชะตาชีวิตของจักรพรรดิกวางซวี่ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ….
💅 ชีวิตส่วนตัวของซูสีไทเฮา รสนิยมหรูหราและความหลงใหลในความงาม
เรื่องราว ซูสีไทเฮา เต็มไปด้วยเรื่องเล่า ที่มักถูกแต่งเติมให้เกินจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคหลังที่ราชวงศ์ชิงล่มสลาย หนังสือพิมพ์ตะวันตก และนักประวัติศาสตร์จำนวนมาก มักพรรณนาถึงเธอว่าเป็น “สตรีผู้ชั่วร้าย” (Evil Empress) ที่ฟุ่มเฟือย, โหดเหี้ยม, และเป็นตัวการที่ทำให้ประเทศชาติเสื่อมทราม
อีกด้านหนึ่ง ของ ซูสีไทเฮา เป็นที่รู้จักกันในเรื่อง รสนิยมอันหรูหรา และ การให้ความสำคัญกับความงาม ตลอดชีวิตของเธอ แม้จะกุมอำนาจการปกครองประเทศ เธอก็ไม่เคยละเลยที่จะดูแลตัวเอง เธอมีความหลงใหลในการถ่ายภาพ (เป็นหนึ่งในบุคคลแรกๆ ในราชสำนักที่ต้อนรับเทคโนโลยีนี้) และมักจะให้ช่างภาพชาวตะวันตก มาถ่ายภาพตนเองในอิริยาบถต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับสตรีในวังต้องห้าม นอกจากนี้ เธอยังโปรดปรานการทำสวน, การเลี้ยงสุนัขพันธุ์เล็ก (โดยเฉพาะสุนัขปักกิ่ง), และที่โด่งดังที่สุดคือ การทำพิธีกรรมดูแลผิวพรรณ ที่ซับซ้อน ตั้งแต่การใช้ผงไข่มุกบดละเอียด ไปจนถึงการดื่มนมแพะ และใช้สมุนไพรหายาก เพื่อให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ ชีวิตส่วนตัวของซูสี จึงเปรียบเหมือนการ ผสมผสานที่น่าทึ่งระหว่าง อำนาจทางการเมืองที่แข็งกร้าว กับ ศิลปะในการใช้ชีวิตที่อ่อนช้อยและประณีต ทำให้เธอเป็นบุคคลที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและน่าค้นหาอย่างแท้จริง

Xunling, 1874-1943
Collector
Der Ling, Princess, 1885-1944
🌅 กิจวัตรอันหรูหราของซูสีไทเฮา
ชีวิตของซูสีไทเฮาถูกกำหนดด้วยตารางเวลาที่เคร่งครัด แต่เต็มไปด้วยความหรูหราที่ไม่อาจหาใครเทียบได้
- ตื่นบรรทม: เธอจะตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อเตรียมพร้อมรับวันใหม่ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการดูแลผิวพรรณอย่างพิถีพิถัน โดยใช้นางกำนัลและขันทีจำนวนมากช่วยในการอาบน้ำ แต่งหน้า และแต่งกายด้วยอาภรณ์ที่ประดับประดาด้วยหยกและไข่มุก
- ว่าราชการในม่าน : หลังจากการเตรียมตัว เธอจะนั่งอยู่หลัง ม่านสีเหลือง ในท้องพระโรง (เพื่อรักษาธรรมเนียมที่ผู้หญิงต้องไม่แสดงตัวต่อหน้าขุนนางผู้ชาย) เพื่อว่าราชการร่วมกับจักรพรรดิ (ถงจื้อและกวางซวี่) และรับฟังรายงานจากขุนนาง การเมืองเป็นกิจวัตรหลักที่กินเวลาส่วนใหญ่ของเธอ
- มื้ออาหารที่อลังการ : มื้ออาหารของซูสีไทเฮาเป็นที่กล่าวขานถึงความโอ่อ่า ทุกมื้อจะต้องมีอาหารเตรียมไว้ไม่ต่ำกว่า 100-150 จาน โดยมีพ่อครัวเบิกวัตถุดิบมหาศาล (เช่น เรื่องราวที่ต้องเตรียมไข่ไก่ 500 ฟองต่อวันเพื่อทำอาหารเพียงไม่กี่จาน) แม้ว่าเธอจะเสวยเพียงเล็กน้อยในแต่ละจานเพื่อแสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งและเพื่อป้องกันภัยจากการถูกลอบวางยาพิษ
- พักผ่อนและงานอดิเรก: ช่วงบ่ายและเย็นจะเป็นเวลาสำหรับงานอดิเรกที่เธอโปรดปราน เช่น การชมงิ้ว, การทำสวน, การเลี้ยงสุนัขปักกิ่ง และการถ่ายภาพ ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความหลงใหลในสิ่งใหม่ ๆ ของโลกตะวันตก
ความสัมพันธ์อันแสนร้าวฉาน ระหว่างป้ากับหลาน ….

ความสัมพันธ์ระหว่าง ซูสีไทเฮา กับ จักรพรรดิกวางซวี่ นั้นซับซ้อนยิ่งกว่าละครใดๆ กวางซวี่ (พระนามเดิม ไจ้เถียน) มีศักดิ์เป็น หลานชายแท้ๆ ของซูสีไทเฮา เนื่องจากพระมารดาของกวางซวี่คือ น้องสาวของซูสีนั่นเอง เมื่อจักรพรรดิถงจื้อ (โอรสแท้ๆ ของซูสี) สวรรคตโดยไม่มีทายาท ซูสีจึงเลือกหลานชายวัยเพียง 4 ขวบขึ้นครองราชย์ เพื่อให้เธอยังคงสถานะ ผู้สำเร็จราชการ ได้ต่อไป
ในช่วงแรก ซูสีไทเฮาอาจมีความรักในฐานะป้า และแม่บุญธรรม เธอดูแลการศึกษาของกวางซวี่ อย่างเข้มงวดและดีที่สุด แต่เมื่อจักรพรรดิกวางซวี่ เติบโตขึ้น ความสัมพันธ์ก็เริ่มแตกร้าว เพราะกวางซวี่มีหัวคิดที่ ต้องการปฏิรูปประเทศอย่างรุนแรง เพื่อกอบกู้สถานการณ์ที่ย่ำแย่ ขณะที่ซูสีและกลุ่มอำนาจเก่าต้องการ การเปลี่ยนแปลงที่เชื่องช้า และไม่กระทบต่อโครงสร้างอำนาจเดิม ….
**** ในบริบทเช่นนี้เอง ซูสีไทเฮามักถูกมองว่าเป็นผู้ขัดขวางการปฏิรูป เธอไม่รีบเปิดประเทศอย่างเต็มที่ ไม่ยอมรื้อระบบเก่าอย่างถอนราก และเลือกเดินบนเส้นทางที่ระมัดระวังเกินกว่าที่นักปฏิรูปจะพอใจ แต่การตัดสินใจเหล่านี้ หากมองจากมุมของผู้ที่อยู่ใจกลางอำนาจ อาจไม่ได้เกิดจากความดื้อรั้น หากเกิดจากความหวาดกลัวว่าการเปลี่ยนแปลงที่เร็วเกินไปจะทำให้จักรวรรดิแตกสลายจากภายในก่อนที่จะตั้งตัวได้
จุดแตกหักที่รุนแรงที่สุดคือ “การปฏิรูป 100 วัน”
ในปี ค.ศ. 1898 จักรพรรดิกวางซวี่พยายามจะปฏิรูปประเทศอย่างเร่งรีบและมีแผนที่จะ โค่นอำนาจซูสีไทเฮา ซึ่งเรื่องนี้ถูกเปิดโปงขึ้น ซูสีจึงทำการ รัฐประหาร อย่างรวดเร็วทันควัน เธอสั่งประหารชีวิตนักปฏิรูปคนสำคัญๆ และมีพระราชโองการให้ กักบริเวณจักรพรรดิกวางซวี่ ไว้ที่ตำหนักกลางทะเลสาบในพระราชวังฤดูร้อน (Summer Palace) ตลอดระยะเวลา 10 ปีสุดท้ายของชีวิตพระองค์
ความรัก …. ได้เปลี่ยนเป็นความขัดแย้งทางการเมือง ที่เด็ดขาด และสุดท้าย กวางซวี่ ก็สวรรคตในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1908 ด้วยสารหนูในปริมาณสูง ขณะที่ซูสีไทเฮา ก็สวรรคตตามไปในวันรุ่งขึ้น เรื่องราวของสองชีวิตที่จบลงพร้อมกันในวังวนแห่งอำนาจนี้ จึงถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็น โศกนาฏกรรมอำนาจ ที่น่าเศร้าที่สุดบทหนึ่งของแผ่นดินมังกร
ปลายทางของอำนาจ และจุดเริ่มต้นของจุดจบที่แท้จริง ของราชวงศ์ชิง
ซูสีไทเฮา ถึงแก่อสัญกรรม ในวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1908 เพียงหนึ่งวันหลังจากที่จักรพรรดิกวางซวี่ สวรรคตอย่างเป็นปริศนา ….
ก่อนที่เธอจะหมดลมหายใจ ซูสีไทเฮา ได้ตัดสินใจครั้งสุดท้ายที่สร้างผลกระทบต่อประวัติศาสตร์จีนอย่างใหญ่หลวง คือการเลือก องค์ชายผู่อี๋ (Aisin-Gioro Puyi) ในวัยเพียง 2 ขวบ ขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ (ต่อมาคือ จักรพรรดิเซวียนถ่ง) โดยมี เจ้าชายไจ้เฟิง (พระบิดาของปูยี) ทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการ
การตัดสินใจเลือกเด็กเล็กมาสืบทอดบัลลังก์ครั้งนี้ เป็นการกระทำที่แสดงถึงความพยายามครั้งสุดท้ายของซูสีไทเฮา ที่จะ รักษาอำนาจของตระกูลไว้ และ ให้ตนเองเป็นผู้ควบคุมเบ็ดเสร็จ จนถึงวินาทีสุดท้าย แต่แท้จริงแล้ว นี่คือ คำสั่งเสียที่นำไปสู่การล่มสลาย ….
หลังจาก ซูสีไทเฮาสิ้นสุดลง แผ่นดินจีน ก็เดินเข้าสู่สภาวะ ขาดผู้นำที่เข้มแข็งและเด็ดขาด (ขาด “ซูสี”) ขุนนางและข้าราชการ ต่างพยายามแย่งชิงอำนาจ การปฏิรูปที่เธอเริ่มไว้ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ในขณะที่กลุ่มกบฏหัวรุนแรง และนักปฏิวัติต่างๆ ก็เริ่มรวมตัวกันอย่างคึกคัก และเปิดเผย
เพียงสามปี หลังจากที่ซูสีไทเฮา ปิดฉากชีวิตอันยิ่งใหญ่ของเธอ ณ วังต้องห้ามการปฏิวัติซินไฮ่ ก็ปะทุขึ้นในปี ค.ศ. 1911 และในที่สุด จักรพรรดิปูยี ในวัย 6 ชันษา ก็ถูกบีบให้สละราชสมบัติในปี ค.ศ. 1912 ถือเป็นการ ปิดฉากจักรวรรดิต้าชิง ที่ยาวนานกว่า 268 ปี และ ยุติการปกครองระบอบจักรพรรดิ ที่ดำรงอยู่ในจีนมากว่า 2,000 ปีอย่างสิ้นเชิง
เรื่องราวของซูสีไทเฮา จึงมิใช่เพียงเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่กุมอำนาจ แต่เป็น สะพานเชื่อม ระหว่างอดีตอันรุ่งโรจน์ของจีนโบราณ กับยุคสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและโกลาหล และเป็นจุดที่เรื่องราวของ จักรพรรดิองค์สุดท้ายอย่างปูยี ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างน่าเศร้าในฐานะ สัญลักษณ์แห่งการล่มสลาย ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
แนะนำหนังสือที่น่าอ่าน เรื่องราว ซูสีไทเฮา
ซูสีไทเฮา: หงส์เหนือบัลลังก์ ผู้สร้างจีนสมัยใหม่
- ผู้แต่ง Jung Chang
- ผู้แปล นันทวิทย์ พรพิบูลย์
- สำนักพิมพ์เอสไอเดีย (Sidea)
- จำนวนหน้า 608 หน้า
- ปีที่พิมพ์2560
- ISBN: 9789743159459
สั่งซื้อหนังสือเล่มนี้ ทางออนไลน์ >> คลิ๊ก
พระนางมือเปื้อนเลือด…ซูสีไทเฮา
- สำนักพิมพ์ : เพชร Diamond
- ผู้แต่ง : บุญชัย ใจเย็น
- จำนวนหน้า : 192 หน้า
- ขนาด : 5 x 20.5 ซม.
- ประเภทปก : ปกอ่อน
- เนื้อใน : กระดาษปอนด์ 70 แกรม
- พิมพ์ : ขาว – ดำ
สั่งซื้อหนังสือเล่มนี้ ทางออนไลน์ >> คลิ๊ก
คุณอาจสนใจ บทความ เรื่องราว เกี่ยวกับซูสีไทเฮา
หลิวเซียะหัว (หลิว เสวี่ยหัว) ซูสีไทเฮา จากละคร/ซีรี่ย์ ยุค1980s

ไจ้เฟิง และ โย่วหลาน คือพ่อและแม่ ของจักรพรรดิปูยี






