เคยไหม… ที่เราเห็นผู้หญิงบางคน ดูดี มีเสน่ห์ ฉลาด หน้าที่การงานดี มีชีวิตเป็นของตัวเอง แต่กลับตกหลุมรัก “ผู้ชายที่มีเจ้าของแล้ว” ?! บางครั้งพวกเธอก็รู้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้วว่า ชายคนนั้น เขามีภรรยา มีลูก มีบ้านที่รออยู่ — แต่หัวใจกลับไม่ฟังเหตุผลใดเลย ?!!
ไขปริศนาทางจิตวิทยา ผู้หญิงบางคนตกหลุมรัก “ผู้ชายมีเจ้าของแล้ว”?
เป็นคำถามที่สังคมตั้งข้อสงสัยมานาน และพฤติกรรมนี้ ก็มักจะสร้างความเจ็บปวดให้กับหลายๆ ครอบครัว ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่หลายคน อาจมองว่า แปลก หรือเป็น “เรื่องผิดบาป” ในแง่ศีลธรรม หรือสังคม หรือเป็นเรื่อง “ความเห็นแก่ตัว” … แต่ในเชิงจิตวิทยา ปรากฏการณ์นี้ มีรากเหง้าในแรงจูงใจ ด้านอารมณ์ และพฤติกรรม รวมถึง สัญชาตญาณบางอย่างที่ฝังลึกอยู่ในสมองของมนุษย์ …
เราจะมาเจาะลึกพฤติกรรมนี้ กับมุมมอง ของ ดร. แสงหนายัก เมชราม (Dr. Sanghanayak Meshram) นักจิตวิทยา ที่ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกทางจิตวิทยา เกี่ยวกับประเด็นนี้ ซึ่งเผยให้เห็นว่า หลายครั้งความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้มาจากความปรารถนาที่อยากทำลายครอบครัวใคร แต่เป็นความต้องการลึกๆ ที่ซ่อนอยู่ในตัวผู้หญิงเอง …
“ความรักต่อคนที่มีเจ้าของแล้ว”
ไม่ได้เกิดเพราะความร้ายกาจ หรือจงใจแย่งของของผู้อื่นเสมอไป แต่มีรากมาจากแรงขับทางจิตใจที่ซับซ้อนกว่านั้นมาก
- การขาดความเชื่อมั่นในคุณค่า
(Low Self-esteem / Need for validation)
บางผู้หญิงอาจรู้สึกว่าตัวเองไม่ “คู่ควร” กับใครที่ว่าง ไม่มีใครเลือก หรือไม่มั่นใจในศักยภาพของตนเอง ดังนั้นการได้รับความสนใจหรือความสัมพันธ์จากคนที่ถูก “เลือกแล้ว” จึงเป็นการยืนยันคุณค่าตัวเอง หรือเป็น “สิ่งท้าทาย” ที่ทำให้ยิ่งรู้สึกดีเมื่อสำเร็จ … - ความตื่นเต้นจากความต้องห้าม
(Thrill / Forbidden romance)
ความสัมพันธ์ที่ซ่อนเร้น และความเสี่ยง สถานะที่ต้องหลบๆซ่อนๆ เป็นสิ่งที่ “กระตุ้นอารมณ์” ได้มากกว่าความสัมพันธ์แบบปรกติ ??!! สมองของเราจะหลั่ง โดปามีน (Dopamine) มากขึ้น — > ฮอร์โมนแห่งความสุขที่มักเกี่ยวข้องกับความตื่นเต้นและการเสพติด มันจึงไม่น่าแปลกที่หลายคนจะบอกว่า “ฉันรู้ว่ามันผิด แต่หัวใจมันกลับเต้นแรงกว่าครั้งไหน ๆ” มันทำให้ความรู้สึก รักหรือดึงดูด ยิ่งเข้มข้น เพราะมีองค์ประกอบที่ “ห้ามใจ” หรือ “ห้ามทำ” รวมอยู่ด้วยกัน
ทำไมยิ่งเสี่ยง ยิ่งรู้สึก “จริง” มีคำกล่าวในจิตวิทยาความสัมพันธ์ว่า
“Forbidden love is like fire — dangerous, but it keeps you warm.”
เมื่อความสัมพันธ์มีอุปสรรค ความลับ หรือการต่อต้านจากสังคม สมองจะหลั่งโดปามีน และอะดรีนาลีนสูงขึ้น (คล้ายกับตอนเราทำสิ่งที่ตื่นเต้นหรือกลัว) ความรู้สึกนี้ทำให้คนรู้สึกว่าความรักนั้น “เข้มข้น” กว่าความสัมพันธ์ปกติ ….
ผู้หญิงบางคน อาจไม่ได้รัก เพราะผู้ชายคนนั้นดีกว่าคนอื่น ….
แต่เพราะ “สถานการณ์” ที่ทำให้ความรักนั้นดูมี “พลัง” มากกว่า
เหมือนเป็นความรัก ที่ต้องต่อสู้ ต้องแอบ ต้องรอ ต้องแย่งชิง ….
และในความยากนั้นเอง ที่สมองจดจำความรู้สึกได้ชัดเจนที่สุด ??!
- มันได้ผ่านการ “คัดกรองแล้ว”
(Pre-screened / Worthiness heuristic)
ผู้ชายที่มีภรรยา หรือพันธะแล้ว มักถูกมองว่า “ถูกเลือกแล้วโดยใครบางคน” หรือผ่านการคัดกรองจากผู้หญิงคนหนึ่งแล้ว ซึ่งในจิตวิทยามนุษย์ การที่ใครบางคน “เลือก” เขาก่อน มักให้ค่าความน่าเชื่อถือ/คุณค่า เพิ่มขึ้นในสายตาผู้อื่น
ความสัมพันธ์นี้ จึงถูกเรียกว่า Mate Poaching
นักจิตวิทยาชาวอเมริกันชื่อ David Buss และทีมของเขาได้ตั้งชื่อให้ปรากฏการณ์นี้ว่า “Mate Poaching” — หมายถึง “การพยายามดึงดูดหรือแย่งคู่ครองจากคนที่มีเจ้าของแล้ว”
เหตุผลเชิงวิวัฒนาการ (Evolutionary Rationale) นั่นก็ คือ มนุษย์มีแนวโน้มจะเลือกคู่ ที่ถูกประเมินว่ามี “คุณภาพทางพันธุกรรมหรือสถานะสูง” และหนึ่งในสัญญาณทางสังคม ที่บ่งบอกคุณภาพนั้นก็คือ “มีคนเลือกแล้ว” เพราะถ้าเขามีภรรยา มีครอบครัว ก็แปลว่าเขาเคยผ่านกระบวนการคัดเลือกโดยใครบางคนมาแล้วนั่นเอง … นักจิตวิทยาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “the pre-selection effect”
เรามักดึงดูดต่อคนที่ “ถูกเลือก” มากกว่าคนที่ไม่มีใครเลือกมาก่อน และนี่แหละ คือหนึ่งในรากของพฤติกรรม mate poaching
ไม่ใช่แค่ในแง่ของความรัก แต่ในทุกมิติของสังคม — มนุษย์ให้ค่ากับสิ่งที่ “เป็นที่ต้องการ” เสมอ
- ด้านมืดของจิตใจ และแรงขับที่ซ่อนอยู่
ในปี ค.ศ. 2022 มีงานวิจัยใน Personality and Individual Differences พบว่า คนที่มีบุคลิกอยู่ในกลุ่ม “Dark Triad” — ได้แก่ Narcissism (หลงตัวเอง), Machiavellianism (ชอบควบคุม/หลอกล่อ) และ Psychopathy (ขาดความเห็นใจ) มักมีแนวโน้มจะ “ล่าคู่คนอื่น” (Mate Poaching) มากกว่า ….
เพราะพวกเขา “เชื่อ” ในเกมของอำนาจ การแข่งขัน และความท้าทาย
ความสำเร็จในการได้คนที่มีเจ้าของแล้ว จึงกลายเป็นการ “พิสูจน์เสน่ห์” หรือ “ยืนยันความเหนือกว่า” ในจิตใต้สำนึก ….
แต่แน่นอน ไม่ใช่ทุกคนที่ทำแบบนั้นจะมีบุคลิกมืด นี้นะครับ ….
หลายคนเพียงแค่ “อยากได้ความรักแบบไม่ต้องมีพันธะ”
เพราะรู้ว่าชายคนนั้น จะไม่มีวันขออะไร ได้เกินกว่าที่พวกเธอพร้อมให้ คือเป็น “พื้นที่สีเทา” ที่ทั้งอบอุ่นและไม่ผูกมัด ?!!
️ แล้วความรักแบบนี้จะไปถึงไหน?
มีจุดจบ และบทสรุปอย่างไร
งานวิจัยจาก Journal of Experimental Social Psychology พบว่า ….
คู่รักที่เริ่มต้นจาก mate poaching มักเผชิญปัญหาความไว้วางใจ ความพึงพอใจในความสัมพันธ์ต่ำ และมีแนวโน้ม “มองหาทางเลือกใหม่” มากกว่าคู่ทั่วไป ….
ถ้าจะให้พูดง่ายๆ ก็คือ ความสัมพันธ์ที่เริ่มจากการแย่งชิง มักจบลงด้วยความไม่มั่นคง …
แต่ก็ไม่เสมอไปนะครับ — เพราะมนุษย์ไม่ใช่สูตรคณิตศาสตร์ …..
บางคู่ที่เริ่มต้นในจุดผิด แต่ระหว่างทาง ก็อาจได้เรียนรู้ เติบโต และเปลี่ยนความสัมพันธ์ให้กลายเป็นสิ่งดีได้ ….
หากทั้งสองฝ่าย “กล้า” ยอมรับความจริง รับผิดชอบ และปรับโครงสร้างความสัมพันธ์อย่างตรงไปตรงมา ….
Mate poaching จัดว่าเป็นโรคทางจิตเวช หรือไม่ ?
พฤติกรรมนี้ ไม่จัดเป็น “โรคทางจิต”
พฤติกรรมที่ผู้หญิงตกหลุมรักผู้ชายที่แต่งงานแล้ว ไม่มีชื่อเรียกเฉพาะเจาะจงว่าเป็น “โรคทางจิต” (Mental Disorder) ในคู่มือการวินิจฉัยทางจิตเวช เช่น DSM-5 (Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders) ครับ โดย ไม่ถือเป็นความผิดปกติทางจิตเวชที่ต้องได้รับการวินิจฉัย ในทางการแพทย์
พฤติกรรมนี้ เป็นเรื่องของ ความสัมพันธ์เชิงสถานการณ์ (Situational Factors) เช่น ปัญหาในความสัมพันธ์เดิม, ความเหงา, หรือความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ และ ปัจจัยทางจิตสังคม (Psychosocial Factors) เช่น ความต้องการทางอารมณ์, การขาดความมั่นคงในชีวิต
เป็นเรื่องของ พฤติกรรมมนุษย์และทางเลือกส่วนบุคคล ซึ่งอาจมีแรงจูงใจทางจิตวิทยาที่ซับซ้อน แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้กระทำป่วยทางจิตครับ
- ความรักเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องของตรรกะ
แต่เป็นการผสมกันของชีววิทยา ความทรงจำ ความเคยชิน และบาดแผลในอดีต
บางครั้ง คนที่รักคนมีเจ้าของอาจไม่ได้ต้องการ “ทำลายใคร” แต่ต้องการ “รู้สึกมีค่า” และในช่วงเวลาที่เธอได้รับรอยยิ้มหรือถ้อยคำอ่อนโยนจากเขา นั่นคือช่วงเวลาที่เธอรู้สึก “มีตัวตน” ที่สุด
การตกหลุมรักผู้ชายที่แต่งงานแล้ว ไม่ได้เป็นเรื่องของความผิดศีลธรรมเพียงอย่างเดียว แต่มันสะท้อนถึงความซับซ้อนของมนุษย์ ทั้งในระดับอารมณ์ ชีววิทยา และประสบการณ์ในอดีต การเข้าใจมัน จึงไม่ใช่เพื่อ “แก้ตัว” แต่เพื่อเรียนรู้ว่า เราควรรัก และรักษาหัวใจของตัวเอง อย่างไร ในโลกที่ความรักไม่เคยง่ายเลย
แหล่งอ้างอิง
- Schmitt, D. P., & Buss, D. M. (2001). Human mate poaching: Tactics and temptations for infiltrating existing mateships. Journal of Personality and Social Psychology, 80(6), 894–917.
- Jones, D. N., & Paulhus, D. L. (2014). Introducing the short dark triad (SD3): A brief measure of dark personality traits. Assessment, 21(1), 28–41.
- Schmitt, D. P., & Shackelford, T. K. (2014). The quality of relationships that arise from successful mate poaching. Journal of Experimental Social Psychology, 55, 1–11.
- Meshram, S. (2023). Interviews and commentary on relationship psychology. Practo Profile & Zulekha Hospitals [online].
- Buss, D. M. (2016). Evolutionary Psychology: The New Science of the Mind. Routledge.
- Psychology Today (2024). “Mate Poaching: Social Taboo or Human Nature?” Retrieved from psychologytoday.com



